“มนัญญา”ออกเดินสายกำชับการใช้สารเคมีเกษตร หลังแบนพาราควอตมีผล 1 มิ.ย.63

  •  
  •  
  •  
  •  

“มนัญญา” เริ่มเดินสายมอบนโยบายและแนะแนวทางการปฏิบัติในการใช้สารเคมีเกษตรให้หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร  หลังการแบนพาราควอต และคลอไพริฟอส มีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย.63 นี้ ประเดิมก้าวแรกที่ชัยนาท รอฃอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ย้ำเกษตรต้องส่งคืนให้ร้านที่ซื้อมา ภายใน วันที่ 29 ส.ค.ร้านค้าจัดจำหน่าย ส่งคืนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าภายใน 120วัน ขณะที่ผู้ผลิตและผู้นำเข้า ต้องแจ้งปริมาณต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่เกิน วันที่ 25 ก.พ.64 ก่อนทำการทกลายต่อไป

      วันที่ 1 มิถุนาบย 2563 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังมอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติในการใช้สารเคมีเกษตรหลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศแบนสารคลอไพริฟอส และพาราควอต ให้หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร ณ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 5 อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ว่า ตามนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย ดังนั้นตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศให้คลอไพริฟอส และพาราควอต เป็นแบนสารเคมีารเกษตร เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามมิให้ผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 จึงขอให้เกษตรกร ผู้ค้าผู้จัดจำหน่าย ส่งคืนสารดังกล่าว ในส่วนไกลโพเซต ให้มีการจำกัดการใช้ ซึ่งกรมวิชาการเกษตร เป็นผู้ดูแลและรวบรวมดำเนินการต่อไป

       ด้านนางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดี กรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตรได้ให้ความสำคัญตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมประกาศ สารพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส วัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (วอ.4) ใบทะเบียน ใบอนุญาตผลิต และใบอนุญาตครอบครองซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จะสิ้นสุดทันที ดังนั้น ผู้ที่มีพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ไว้ในครอบครองก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้ คือเกษตร ต้องส่งคืนให้ร้านที่ซื้อมา ภายใน 90 วัน (ไม่เกิน วันที่ 29 สิงหาคม 2563) ร้านค้าจัดจำหน่าย ส่งคืนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า และแจ้งปริมาณต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ภายใน 120 วัน (ไม่เกิน วันที่ 28 กันยายน 2563) ,ส่วนผู้ผลิตและผู้นำเข้า แจ้งปริมาณต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตรเพื่อรวบรวมแจ้งปริมาณวัตถุอันตรายตามแบบ วอ./วก.5 ภายใน 270 วัน ⁃ (ไม่เกิน วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564)

    จากนั้นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการได้กำหนดวัน วิธี และสถานที่ในการทำลายโดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมการทำลาย นอกจากนี้ได้กำหนดแนวทางการดำเนินการ เกี่ยวกับการจัดการสารคลอร์ไพริฟอส และพาราควอต ของผู้ครอบครองตามประกาศกระทรวงอุตสหกรม ให้ปฏิบัติป็นไปตามประกาศอย่างเคร่งครัด

   เนื่องจาก ผู้ที่ฝ่าฝืนให้ระวังโทษ จำคุกไม่กิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมทั้งได้ดำเนินการสร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ฏิบัติงาน เกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้าง
พ่น ผู้ขาย ผู้นำเข้าผู้ส่งออก ผ่านช่องทางการรับรู้ต่างๆได้แก่ หน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ เว็บไซด์ของกรมวิชการเกษตร การประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัดและพื้นที่ ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาการกษตร (ศพก) และผ่านทางสารวัตรเกษตรอาสา เป็นตัน

       อย่างไรก็ตาม ในส่วน สวพ.5 มีพื้นที่รับผิดชอบอยู่ในเขตภาคกลางและภาคตะวันตก ครอบคลุม 19 จังหวัด มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการควบคุมตาพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย7 หน่วยงาน กับอีก 1 กลุ่มงาน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลความก้าวหน้าของสารเคมีในเดือนพฤษภาคม 2563 ในเขตที่ 5 มีจำนวน 3,158 ร้าน (ทั่วประเทศ 16,005 ร้าน) ร้านจำหน่ายสารเคมี 3 สาร คือพาราควอต 700.43 ตัน (8,562.64 ตัน) คลอไพริฟอส 103.73 ตัน (697.08 ตัน) และไกลโฟเชต 528.42 ตัน (9,019.10 ตัน)