กองทัพอากาศได้ฤกษ์งาม ยามดี 20 เมษายน 2563นี้ ขนข้าวสารหอมมะลิอินทรีย์ ภายใต้ “โครงการนำร่อง ทัพฟ้าช่วยไทย ต้านภัยโควิด-19 ขนข้าวชาวนา เปลี่ยนปลาชาวเล” จากยโสธรสู่ชุมชนชาวหาดราไวย์ ที่ภูเก็ต และขนปลาเค็มจากภูเก็ตกลับสู่ยโสฯ ภายใต้ความร่วมมือ “ข้าวแลกปลา” ของสมาคมชาวยโสธร หลังจากที่ได้ประสานงานว่า ชาวประมงจากหาดราไวย์ จ.ภูเก็ต ที่ได้รับผลกระทบจาก “โควิด-19 “อย่างหนัก หาปลายังชีพไม่สามารถที่ขายได้ ถึงขนาดไม่มีเงินซื้อข้าวสารหุงกินจึงมีการตกลงข้าวและปลาขึ้นมา
จากกรณีที่ได้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวนมากกว่า 170 คน จากหลายพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ทางจังหวัดภูเก็ตออกมาตรการประกาศให้ปิดห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ ทั้งจังหวัด เพื่อไม่ให้คนออกมารับเชื้อและแพร่เชื้อ ส่งผลกระทบให้สถานบริการ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าต้องปิด รวมถึงตลาดราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายปลาและสัตว์น่ำ(ทะเล)สด ทำให้ชาวเลที่เป็นคนพื้นเมืองกว่า 1,300 คน ซึ่งมีอาชีพหลักคือการออกทะเลหาปลาและสัตว์น้ำในทะเล แต่ได้มาไม่สามารถขายปลาและสัตว์ทะเลได้ จึงได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ถึงขนาดไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวสารมาหุงกิน
ในฐานะที่สมาคมชาวยโสธร ซึ่งเคยร่วมโครงการทัพฟ้าช่วยชาวนา และเป็นผู้ผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ที่มีความพร้อม จึงเสนอการช่วยเหลือในลักษณะการแลกเปลี่ยนข้าวสารไปแลกกับปลาแห้ง แต่ประสบปัญหาเรื่องระยะทางและเวลาที่ใช้ในการขนส่งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนชาวเล จึงได้ประสานกับกองทัพอากาศที่เคยร่วมโครงการมาปรากฏว่าได้รับการสนับสนุนจากกองอากาศเป็นอย่างดี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2563 พลอากาศเอก มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้สั่งการให้จัดกำลังพลของกองทัพอากาศ ยานพาหนะ และเครื่องบินลำเลียงแบบที่ ๘ หรือ C-130 ซึ่งมีขีดความสามารถในการบรรทุกได้ถึง 12 ตันหรือ 12,000 กิโลกรัม สนับสนุนโครงการนำร่อง “ทัพฟ้าช่วยไทย ต้านภัยโควิด-19 ขนข้าวชาวนา เปลี่ยนปลาชาวเล” เพื่อช่วยเหลือชาวเลที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนักให้เร็วที่สุด โดยการขนส่งข้าวสารจากจังหวัดยโสธรไปแลกเปลี่ยนปลาแห้งที่จังหวัดภูเก็ต และนำปลาแห้งกลับไปส่งที่จังหวัดยโสธร
ในเบื้องต้นกองทัพอากาศได้เตรียมกำลังพล ยานพาหนะ และเครื่องบินไว้พร้อมแล้ว รอการดำเนินการรวบรวมข้าวหอมมะลิและปลาแห้งของแต่ละชุมชน และกำหนดดำเนินการขนข้าวไปแลกปลาในวันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 นี้
สำหรับโครงการนี้ ถือเป็นโครงการนำร่อง เป็นตัวอย่างในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชุมชน เมือง หรือประเทศ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เคยมีมาแต่โบราณ ซึ่งจะสร้างความเข้มแข็งและมีศักดิ์ศรีให้แก่ชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างส่วนราชการ องค์กร และชุมชน ลดภาระของส่วนราชการในการไปดูแลชุมชนดังกล่าว ตลอดจนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่จะสร้างให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ