ชู 2 ปุ๋ยชีวภาพตัวท็อป “ไมโคไรซา-ละลายฟอสเฟต”ช่วยสลายฟอสฟอรัสในดิน ลดต้นทุน ต้านโรค  ทนแล้ง 

  •  
  •  
  •  
  •  

                                                                            เสริมสุข  สลักเพ็ชร์

กรมวิชาการเกษตร ประสบผลสำเร็จผลิต 2 ปุ๋ยชีวภาพตัวท็อป “ไมโคไรซา-ละลายฟอสเฟต” คุณสมบัติพิเศษ ช่วยสลายฟอสฟอรัสธาตุอาหารสำคัญของพืชที่ถูกตรึงอยู่ในดินออกมาให้พืชใช้ประโยชน์อีกครั้ง ทำให้ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพผลผลิต  แถมยังเป็นวัคซีนต้านโรครากเน่า  ทนแล้ง ชี้สุดคุ้มใส่เพียงครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดชีวิตของพืช มีประสิทธิภาพคูณสอง ทำงานเสริมทั้งรากและนอกรากด้วย

        นางสาวเสริมสุข  สลักเพ็ชร์  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  เปิดเผยว่า  ปุ๋ยชีวภาพเป็นปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์มีชีวิตที่สามารถสร้างและให้ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์กับพืช   ปุ๋ยชีวภาพจึงเป็นปุ๋ยทางเลือกหนึ่งในการนำมาใช้ช่วยทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี  กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร  กรมวิชาการเกษตร  ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ทางการเกษตรได้ค้นพบไมโคไรซาซึ่งเป็นเชื้อราในดินกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณรากพืชและเจริญเข้าไปในราก 

        สำหรับเชื้อราไมโคไรซาที่ว่านี้ อยู่ร่วมกับรากพืชในรูปแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน   โดยพืชจะให้อาหารประเภทน้ำตาลที่ได้จากการสังเคราะห์แสงแก่ไมโคไรซ่า  ซึ่งเซลล์ของรากพืชและเชื้อราไมโคไรซ่าจะสามารถถ่ายทอดอาหารซึ่งกันและกันได้   โดยเส้นใยของราไมโคไรซ่าที่เจริญห่อหุ้มรากจะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวรากพืชให้สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตในดินส่งต่อให้พืช   โดยเฉพาะธาตุอาหารที่สลายตัวยากหรืออยู่ในรูปที่ถูกตรึงไว้ในดินส่งต่อให้กับพืชโดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัสที่มักถูกตรึงไว้ในดิน   

        จากคุณสมบัติของเชื้อราไมโคไรซ่าดังกล่าวกรมวิชาการเกษตรจึงได้นำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อส่งต่อให้เกษตรกรได้นำไปใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพและผลผลิต   พืชเจริญเติบโตและทนแล้งได้ดี   รวมทั้งยังทนทานต่อโรครากเน่าหรือโคนเน่าที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา  เนื่องจากราไมโคไรซ่าที่เข้าไปอาศัยอยู่ในรากพืชจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อราที่เป็นสาเหตุโรครากเน่าเข้าสู่รากพืชได้   และยังช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ครึ่งหนึ่งของอัตราการใช้ปุ๋ยปกติ

         นางสาวเสริมสุข  กล่าวอีกว่า  แม้ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าจะมีคุณสมบัติที่ช่วยดูดธาตุอาหารที่สลายตัวได้ยากหรือถูกตรึงอยู่ในดินส่งต่อให้พืชได้นำไปใช้ประโยชน์แล้วก็ตาม   แต่ถ้าหากใช้ร่วมกับปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต  ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยละลายธาตุฟอสฟอรัสที่ถูกตรึงอยู่ในดินร่วมด้วยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพืชมากขึ้น  

         เนื่องจากจุลินทรีย์กลุ่มนี้มีประโยชน์ในการละลายฟอสเฟตออกมาใช้งานเช่นกัน  โดยใส่ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตให้บางชุดดินที่วิเคราะห์แล้วพบว่ามีปริมาณฟอสฟอรัสในดินสูง  ซึ่งจุลินทรีย์ที่ใส่เติมลงไปจะไปละลายฟอสฟอรัสที่ถูกยึดตรึงอยู่ในดินออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชอีกครั้ง  และยังมีคุณสมบัติพิเศษสามารถสังเคราะห์สารช่วยในการเจริญเติบโตของพืช  ช่วยให้พืชได้ธาตุอาหารฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้นส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของพืช

          ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารหลักของพืช  ในดินที่ใช้ทำการเกษตรส่วนใหญ่จะมีฟอสฟอรัสสำรองอยู่ในดินปริมาณมากอยู่แล้ว   ซึ่งเกิดจากการที่เกษตรกรใส่ปุ๋ยเคมีให้กับพืชระหว่างการเพาะปลูกแต่พืชสามารถดูดไปใช้ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น  โดยส่วนใหญ่จะเหลือตกค้างอยู่ในดินโดยถูกดินยึดตรึงเอาไว้  จึงทำให้เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสในดิน  แต่ฟอสฟอรัสในดินส่วนใหญ่ประมาณ 95-99 เปอร์เซ็นต์อยู่ในรูปที่ไม่ละลายพืชจึงนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ การขาดฟอสฟอรัสในดินจึงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก 

        อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวต่อไปว่า ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซาเป็นเชื้อราในดินที่จะเข้าไปอยู่ในรากของต้นไม้  เป็นกลุ่มที่ให้ธาตุอาหารฟอสฟอรัส  มีความสำคัญต่อการแตกราก  ช่วยเพิ่มปริมาณรากให้กับต้นไม้ได้ดี  ถ้าขาดฟอสฟอรัสต้นไม้จะแคระแกร็น  ส่งผลต่อการติดดอกออกผล ส่วนปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตมีจุลินทรีย์ที่สามารถละลายฟอสเฟตที่มีอยู่ในดินบางรูปที่พืชใช้ไม่ได้ให้ละลายออกมาเป็นประโยชน์แก่พืช  ช่วยให้พืชได้ธาตุอาหารฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้น  โดยปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตจะทำงานอยู่นอกรากพืช   ในขณะที่ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าจะทำงานอยู่ในรากพืช

           ดังนั้นหากใช้ร่วมกันจะช่วยให้พืชได้รับธาตุอาหารฟอสฟอรัสซึ่งเป็นธาตุอาหารสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการผลิตเพราะสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีของเกษตรกรลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง  และการใส่ปุ๋ยชีวภาพเพียงครั้งเดียวสามารถทำงานอยู่ได้จนตลอดชีวิตของพืช  เกษตรกรที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  กลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน  กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร  0-2579-7522-3