
“นบข.” เคาะแล้ว!! มาตรการยกระดับเกษตรกรสู่ความมั่นคง ก.เกษตรฯ รับลูกโครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี เร่งพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด พร้อมสนับสนุนชาวนาปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวนาปรังเป็นพืชหลังนา 2,000 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน
นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการนโยบาย และบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 พร้อมด้วย นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ณ ห้องประชุมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เพื่อกำหนดทิศทางการบริหารจัดการข้าวของประเทศ รวมถึงการผลิต การตลาด และการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องชาวนาให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
นายอนุทิน กล่าวว่า ในปีนี้ตลาดข้าวโลกมีความผันผวนสูงต้องขอบคุณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้เร่งดำเนินการขายข้าว โดยเฉพาะการบรรลุข้อตกลงขายข้าว ให้สาธารณรัฐประชาชนจีน เพิ่มเติมอีก 500,000 ตัน อีกทั้ง พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการเสด็จ พระราชดำเนินเยือนจีนอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กราบบังคมทูลยืนยันการสนับสนุนสินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะข้าวจำนวน 500,000 ตัน ซึ่งถือเป็นการบรรลุผลสำเร็จ ณ ที่แห่งนี้ และจะทำให้ราคาข้าวหอมมะลิจะขยับ มาอยู่ในระดับ 13,000 บาทต่อตันขึ้นไป นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ปิดดีลขายข้าวและอาหารล่วงหน้า (Food Security) ให้สิงคโปร์ 100,000 ตัน ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานทำหน้าที่เป็น “เซลล์แมน” ในการขายสินค้าไทยให้ได้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน ขอให้รักษาและปรับปรุงคุณภาพข้าวของไทยให้ดีที่สุด เพราะข้าวไทยยกระดับเกินกว่าการแข่งขันไปแล้ว ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การช่วยเหลือ และสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรด้วยมาตรการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับที่ประชุมได้เห็นชอบ 5 เรื่อง ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดย ปรับวงเงินสินเชื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาด ข้าวเปลือกเจ้า จาก 8,000 บาท/ตัน เป็น 5,800 บาท/ตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี จาก 9,000 บาท/ตัน เป็น 7,600 บาท/ตัน ข้าวเปลือกเหนียวจาก 10,000 บาท/ตัน เป็น 8,600 บาท/ตัน ทั้งนี้ มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำรายละเอียดงบประมาณเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
2) การขยายระยะเวลาโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 ให้ขยายออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมสิ้นสุด 31 ต.ค. 68 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย. 69 3) มาตรการดูดซับผลผลิตข้าวส่วนเกิน ปีการผลิต 2568/69 และมาตรการระยะยาว เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับซื้อข้าวในราคานำตลาด (บวกไม่เกิน 300 บาท/ตัน) เพื่อสีแปรสภาพและกระจายสู่ตลาดปลายทาง เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก เน้นกลุ่มข้าวขาวเป็นหลัง
โครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวนาปรังเป็นพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร โดยสนับสนุนเกษตรกร 2,000 บาท/ไร่ (ไม่เกิน 10 ไร่/ครัวเรือน) เพื่อปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ตลาดต้องการ จำนวน 1 ล้านไร่ และ การสนับสนุน การปลูกข้าวคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มมูลค่า (ข้าวประณีต) โดยเชื่อมโยงตลาด (Business Matching) และสนับสนุนเครื่องจักร อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก เป้าหมายกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม และมอบหมายกรมการข้าว พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการ ของตลาด
4) ทบทวนกฎระเบียบการนำเข้าข้าวตามพันธกรณีภายใต้ WTO ของไทย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (MAFF) ของญี่ปุ่น ได้ร้องขอให้ไทยพิจารณาเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวญี่ปุ่นภายใต้ โควตา WTO เพื่อให้สอดคล้อง กับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในไทย ดังนั้น เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทางการค้าที่ดีกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้แก้ไขระเบียบฯ โดยเพิ่มปริมาณการนำเข้าสำหรับผู้มีสิทธิ แต่ละราย จากเดิม ไม่เกิน 100 เมตริกตัน/ราย/งวด เป็น ไม่เกิน 300 เมตริกตัน/ราย/งวด
สุดท้าย 5) การแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ แบ่งออกเป็น 4 คณะย่อย ได้แก่ คณะอนุกรรมการ นโยบายและบริหารข้าว แห่งชาติด้านการผลิต คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และคณะอนุกรรมการติดตาม กำกับดูแลการบริหารจัดการ ข้าวระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดผลดี ต่อการพัฒนาระบบการผลิตข้าว กำหนดราคาที่เป็นธรรม เป็นผลดีต่อเกษตรกรไทย
