ดีพร้อม ชู “เซฟโหมด” ทางรอดของผู้ประกอบการที่จะฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย แนะ 3 แนวทางพาเอสเอ็มอี-วิสาหกิจชุมชนให้อยู่ได้

  •  
  •  
  •  
  •  

อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ชี้แนวทางรอดผู้ประกอบการในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย คือ การเปิด “เซฟโหมด” เน้นการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังมากขึ้น ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพิ่มช่องทางหารายได้ที่หลากหลาย และการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ระบุเอสเอ็มอี-วิสาหกิจชุมชน สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยที่ไม่ต้องชะลอหรือหยุดการดำเนินธุรกิจ ขณะที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เป็นสตาร์ทอัพ ถือเป็นโอกาสเหมาะในช่วงนี้ ที่จะมาสร้างคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่โมเดลธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน

         ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เปิดเผยว่า สมรภูมิเศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญภาวะความเสี่ยงรอบด้าน จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ การแพร่ระบาดของโรคติดต่อรุนแรง และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้หลายประเทศปรับลดการคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่มีความเป็นไปได้ว่าในปี 2565 จะขยายเพียงตัวร้อยละ 2.5 – 3.5 จากเดิมช่วงต้นปีที่ผ่านมาประเมินว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5 – 4.5จากผลกระทบที่เกิดขึ้น

          ด้วยเหตุนี้นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงสั่งการให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งศึกษาแนวทางสำหรับการประกอบการในยุคปัจจุบันเพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ภายใต้ปัจจัยความเสี่ยงรอบทิศในปัจจุบัน โดยแนวทางอีกหนึ่งที่สำคัญ คือ การเปิด “เซฟโหมด (Safe Mode)” ของธุรกิจ

         สำหรับการเปิดเซฟโหมดจะเป็นเครื่องมืออันดีในการช่วยประคองธุรกิจและสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจและอุตสาหกรรมในภาวะที่มีความเสี่ยงรอบด้าน ซึ่งรูปแบบในการดำเนินงานมี 3 วิธีการ ดังต่อไปนี้

           1.การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจ โดยธุรกิจสามารถใช้ระยะเวลานี้ วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายจากบัญชีหรืองบการเงินของธุรกิจ ตรวจสอบมูลค่าสินค้าคงคลัง ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและต้นทุนการขนส่งต่าง ๆ รวมทั้งบริหารภาระหนี้ให้มีดอกเบี้ยต่ำเพื่อรักษาเงินสดหรือสภาพคล่องให้ได้มากที่สุด

         2.เพิ่มช่องทางการหารายได้ที่หลากหลายที่ใช้ต้นทุนไม่มาก ซึ่งนอกจากการปรับช่องทางการตลาดมาเป็นรูปแบบOnlineที่ใช้ต้นทุนในการตลาดต่ำกว่าช่องทางอื่นแล้ว การใช้แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำเอาวัตถุดิบที่เหลือหรือของเสียในกระบวนการมาพัฒนาให้เป็นสินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่หรือนำกลับมาใช้ใหม่ โดยให้ไม่มีของเสียในกระบวนการเลย ที่เรียกว่า Zero Waste นั้นก็เป็นอีกทางช่องทางหนึ่งที่ธุรกิจสามารถแปลงค่าใช้จ่ายเป็นทุนหรือรายได้ขึ้นมาได้

        3.ลงทุนในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หากพอมีศักยภาพสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ธุรกิจอาจลดการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นในตลาดหลักทรัพย์หรือคริปโตเคอเรนซี่ มาเป็นการลงทุนในการเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง เช่น การวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ การใช้ระบบไอที (IT)ในการบริหารจัดการ การใช้เครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติมาทดแทนแรงงานที่นับวันจะหายากยิ่งขึ้น เนื่องจากกลับภูมิลำเนาหรือต่างประเทศไป เป็นต้น และเมื่อเศรษฐกิจหรือโอกาสกลับมาก็พร้อมที่ก้าวกระโดดเข้าสู่สนามธุรกิจต่อไป

        ดร.ณัฐพล กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่ไม่มีธุรกิจและสนใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจใหม่หรือเป็นสตาร์ทอัพ(Startup) ในช่วงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะลดลงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็ถือว่าเป็นโอกาสใหม่ของยุคความปกติถัดไป (Next Normal) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่ที่เข้าใจความต้องการและปัญหาใหม่ ๆของลูกค้า มาสร้างคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่นำไปสู่โมเดลธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะธุรกิจหรือสตาร์ทอัพที่เห็นโอกาสย่อมใช้กลยุทธ์ ปลาเร็ว กินปลาช้า สร้างธุรกิจที่เติบโตได้ในอนาคตเช่นเดียวกัน

        กระนั้นต้องอย่าลืมว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง อยากให้สตาร์ทอัพได้วางแผนและสร้างโมเดลธุรกิจที่เฉียบคมศึกษาพัฒนานวัตกรรมและใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ตลอดจนทดลองตลาดจากเงินทุนเล็กน้อยจนมั่นใจเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มลงทุนหรือกู้เงินจำนวนมากเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากการทำธุรกิจ สิ่งที่ได้จากการกู้เงินคือ การเป็นหนี้หรือภาระทันที ไม่ได้มีรายได้หรือรายรับทางธุรกิจที่แน่นอนและก้าวกระโดดทันทีอย่างที่ฝันไว้ จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป