กรมประมง “ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนฝั่งทะเลอันดามัน ประจำปี 2568” (ปิดอ่าวฝั่งทะเลอันดามัน) มีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2568 ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง รวม 4,696 ตารางกิโลเมตร เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ และรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศไว้อย่างยั่งยืน
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยหลังเป็นประธานในพิธี“ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนฝั่งทะเลอันดามัน ประจำปี 2568” (ปิดอ่าวฝั่งทะเลอันดามัน) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ณ ท่าเทียบเรือศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลกระบี่ ตำบลไสไทย อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ว่า มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ฝั่งทะเลอันดามัน ตามประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ในที่จับสัตว์น้ำบางส่วนของจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2561 ได้กำหนดการบังคับใช้มาตรการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน
ของทุกปี ครอบคลุมพื้นที่ 4,696 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่บางส่วนของจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ตั้งแต่แหลมพันวา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ถึงปลายแหลมหยงสตาร์ อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนทางธรรมชาติ
บัญชา สุขแก้ว
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาทางวิชาการในปี พ.ศ. 2567 กรมประมงได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรสัตว์น้ำจากเรือสำรวจประมงและเครื่องมือประมงพาณิชย์ พบว่า ในช่วงเวลาระหว่างมาตรการฯ (เมษายน-มิถุนายน) สัตว์น้ำชนิดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ อาทิ ปลาทู ปลาลัง และปลาหลังเขียว มีความสมบูรณ์เพศ สูงมากกว่าร้อยละ 80 อีกทั้ง ในช่วงก่อนมาตรการและระหว่างมาตรการ ปลาเศรษฐกิจวัยอ่อนยังมีความชุกชุมและแพร่กระจาย ในพื้นที่ที่บังคับใช้มาตรการ โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม ที่มีความชุกชุมเฉลี่ย 577 ตัวต่อปริมาตรน้ำ 1,000 ลบ.ม. และเดือนพฤษภาคม พบความชุกชุมเฉลี่ย 258 ตัวต่อปริมาตรน้ำ 1,000 ลบ.ม.
เมื่อพิจารณาอัตราการจับสัตว์น้ำทั้งหมดเฉลี่ยจากเรือสำรวจประมงที่ทำการสำรวจในเขตมาตรการ พบว่า ช่วงก่อนมาตรการ ระหว่างมาตรการ และหลังมาตรการ มีอัตราการจับสัตว์น้ำทั้งหมดเฉลี่ย เท่ากับ 135.505 กก./ชม. 166.206 กก./ชม. และ 471.888 กก./ชม. ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบอัตราการจับสัตว์น้ำทั้งหมดเฉลี่ย ก่อนและหลังมาตรการ พบว่า อัตราการจับสัตว์น้ำทั้งหมดเฉลี่ย หลังมาตรการมากกว่าถึง 3.5 เท่า ของช่วงก่อนมาตรการ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการบังคับใช้กฎหมายในมาตรการปิดอ่าวฝั่งอันดามันมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาวการณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ และสามารถฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในทะเลอันดามันได้อย่างยั่งยืน
หลังจากนั้น ได้มีการประกอบพิธีบวงสรวงพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกาศใช้มาตรการฯ และปล่อยขบวนเรือตรวจประมงทะเลออกปฏิบัติงานในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีการมอบแผ่นป้ายเงินอุดหนุนโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านประมง (กิจกรรมพัฒนาอาชีพชุมชนประมง) ประจำปี 2568 ให้แก่ชุมชนประมงท้องถิ่นทั้งหมด 22 กลุ่ม ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาชีพและฟื้นฟูทรัพยากรประมง พร้อมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำกุ้งกุลาดำและปูม้า จำนวน 1,510,000 ตัว ลงสู่ทะเลอันดามัน เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตและคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศด้วย
“กรมประมงมุ่งหวังให้มาตรการปิดอ่าวฝั่งทะเลอันดามัน เป็นกลไกหนึ่งในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำโดยอาศัยความตระหนักและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรสัตว์น้ำที่คุ้มค่าและยั่งยืน สุดท้ายกรมประมงต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงที่มีส่วนร่วมในการบริหาร จัดการทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนและเกิดความมั่นคงในการประกอบอาชีพประมงต่อไป” อธิบดีกรมประมง กล่าว