รำลึกศาสตร์พระราชา น้อมปฏิบัติขับเคลื่อนเกษตรไทย

  •  
  •  
  •  
  •  

โดย…มนตรี บุญจรัส

                                                             ที่มาของภาพ : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เดือนตุลาฯ เวียนมาบรรจบครบอีกครา อดย้อนรำลึกถึงศาสตร์ของพระราชา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลวงรัชกาลที่ 9 ของพวกเรามิได้ อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่นึกถึงคราใดก็ปลาบปลื้มปริ่มล้นในใจทุกครั้ง กับศาสตร์วิชาความรู้ด้านต่างๆ มากมายของพระองค์ท่าน เพื่อให้ลูกหลานไทยได้นำไปใช้พัฒนาประเทศและหล่อเลี้ยงชีพทุกชนชั้นให้มีความ “กินดีอยู่ดี” โดยเฉพาะศาสตร์พระราชาซึ่งว่าด้วยเรื่อง “ดิน-น้ำ-อากาศ-ฝนเทียม-การเกษตรทฤษฎีใหม่-เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งล้วนแล้วเป็นแนวทางคำสอนของพระองค์ท่านที่ยิ่งใหญ่ และทรงคุณค่า ที่สามารถทำให้มนุษย์เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

แนวทางคำสอนของพระองค์ท่านที่เปรียบดังเพชรและทองคำ แต่กระนั้นก็ยังคงมีบางคนหรือบางหน่วยงานที่ยังไม่เข้าใจ หรือเข้าไม่ถึง ไม่อยากใส่ใจหรือไม่ก็ไม่ยอมศึกษาให้ลุ่มลึกเข้าถึง “จิตใจ” จึงไม่ยอมปฏิบัติตามให้สมกับที่เคยมีพระราชดำรัสสอนสั่งไว้ว่า… เมื่อจะกระทำการใดๆ ต้องทำแบบ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” รวมถึงบ้านเมืองเราอยู่ในยุคที่อำนาจรัฐล้นเหลือ สามารถใช้มาตรา 44 แก้ไขปรับปรุงสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติได้ง่ายกว่ารัฐบาลยุคก่อน ๆ

แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่สามารถตอบสนองแนวพระราชดำรัสของพระองค์ท่านได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะนโยบายเรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ของภาครัฐที่ดูเหมือนจะให้การสนับสนุน แต่ก็ยังคงมีบางกลุ่มที่ยังคงพยายามนำเข้าสารพิษเข้ามาเพียงเพราะความแก่ได้ จนทำลายสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่สวยงามในบ้านเมืองเรารวมถึงทำลายสุขภาพของคนไทยเราเอง

จึงเป็นเรื่องเศร้าที่ประเทศไทยยังจมปลักอยู่กับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “ดิน” ที่สะสมอาบเจือไปด้วยสารพิษจากยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหนอน โรค แมลงศัตรูพืช แม้กระทั่งหญ้าต่อไปก็จะอาจไม่ขึ้นไม่โต พืชไร่ไม้ผลต่างๆ ก็จะแคระแกร็น จะเพาะปลูกอะไรก็ต้องคอยอาศัยแต่ปุ๋ยยาฮอร์โมนจากบริษัทห้างร้านอยู่ร่ำไป “น้ำ” ตามห้วย หนอง คลอง บึง จะดื่ม ใช้ อาบก็ไม่ได้ น้ำดิบที่นำมาผลิตประปาก็ปนเปื้อน ผลกระทบในปัจจุบันที่แม้แต่ “น้ำนมแม่” ยังมีสารพิษตกค้างไปสู่ลูก ผู้คนเป็นมะเร็ง อัมพฤต อัมพาต ฯลฯ เกิดโรคเนื้อเน่า ที่มีสาเหตุจากการสัมผัสอุปโภคบริโภคน้ำในลำน้ำ นาข้าว หรืออ่างเก็บน้ำเป็นเวลานาน หลายรายมีบาดแผลในบริเวณแขน ขา จากการทำงานและไปล้างตัวในแหล่งน้ำที่รองรับสารเคมีทางการเกษตร (ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

อย่างไรก็ตาม จากอดีตถึงปัจจุบันยามใดที่สยามประเทศต้องประสบกับวิกฤต มักจะมีวีรบุรุษวีรสตรีลุกขึ้นมาปกป้อง ดั่งภาษิตที่ว่า “อยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี “เช่นเดียวกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เรายังมี ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรร์ หรือที่ลูกศิษย์ของท่านจะเรียกว่า “อาจารย์ยักษ์” ผู้ที่กำลังต่อสู้ฝ่าฟันกับมรสุมในเรื่องการระงับยับยั้งวัตถุอันตรายทางการเกษตร เพื่อมิให้มีการนำเข้ามาในประเทศ และเป็นผู้ประกาศท้าชนกับกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่นำเข้าสารเคมีอันตราย โดยให้รัฐบาลและเกษตรกรทั่วประเทศจะต้องหยุดการใช้สารเคมีที่เป็นพิษทันทีไม่ว่าจะเป็น “คลอร์ไพรีควอท” สารเคมีกำจัดโรคศัตรูพืชที่มีพิษรุนแรงและยาฆ่าหญ้ากลุ่ม “ไกลโฟเสต” และ “พาราคว็อท” ที่หลายประเทศเลิกใช้ไปตั้งนานแล้ว กระทั่งเกิดกระแสข่าวต่างๆ นานา ว่าอาจจะทำให้ท่านต้องหลุดพ้นและตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

หากย้อนตำนานการเมืองไทย ทุกครั้งที่มีข่าวลือเกิดขึ้น และความจริงจะตามมาในเร็ววัน ประดุจว่าเป็นการโยนหินถามทาง อีกไม่นานข่าวลือก็เป็นข่าวจริง จึงหวังเป็นอย่างว่า ประวัติศาสตร์คงจะไม่ซ้ำรอยกับอาจารย์ยักษ์ ในรอบนี้ เนื่องเพราะจะว่าไปแล้ว ท่านก็ปฏิบัติตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่มีความห่วงใยต่อสุขภาพของประชาชน ดังที่ว่า “สุขภาพหรือประชาชนต้องมาก่อน”

ในฐานะที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ เป็นองค์กรที่อยากให้สารพิษหมดไปจากประเทศไทยขอเป็นกำลังใจส่งไปให้อาจารย์ยักษ์ สามารถฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆ และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นลูกชายที่ตรงไปตรงมา มีความกล้าหาญชาญชัย และกล้าท้าชนต่อสู้กับอำนาจและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า เพื่อดำรงไว้ซึ่ง “ศาสตร์ของพระราชา” และเชื่อว่าจะมีประชาชนคนของพระราชาอีกหลายกลุ่มหลายองค์กร ที่พร้อมจะสนับสนุนช่วยเหลืออาจารย์ยักษ์ให้สามารถสืบสานวิชาการด้านเกษตรตามรอยพระองค์ท่าน

[adrotate banner=”3″]

ขอให้พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9  เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนพระราชา หรือ “ดาบอาญาสิทธิ์” คอยปกป้องคุ้มครองให้อาจารย์ยักษ์ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนคนไทยให้อยู่รอดปลอดภัยท้ายนี้ขอน้อมนำพระบรมราโชวาท ของมรหลวงรัชกาลที่ 9 มาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์และสิริมงคลแก่ปวงชนชาวไทยทุกท่าน

การทำความดีนั้น โดยมากเป็นการเดินทวนกระแสความไม่พอใจ และความต้องการของมนุษย์ จึงทำได้ยากและเห็นผลช้า … แต่ก็จำเป็นต้องทำ … เพราะหาไม่… ความชั่วซึ่งหาง่าย จะเข้ามาแทนที่ แล้วจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว … โดยไม่ทันรู้สึกตัว …”

                                                                      …………………

หมายเหตุ :             นายมนตรี บุญจรัส กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยกรีนอะโกร จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ) สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 986 168