การพึ่งพิงตนเองเรื่องข้าวในเอเชียใต้และการส่งออกของอินเดีย

  •  
  •  
  •  
  •  

โดย….รศ.สมพร อิศวิลานนท์

          ภูมิภาคเอเชียใต้ประกอบไปด้วยประเทศ อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ภูฐาน อัฟกานิสถาน เนปาล ศรีลังกา และมัลดีฟส์ ธัญพืชอาหารจานหลักที่สำคัญของประชากรในภูมิภาคนี้ได้แก่ข้าวและข้าวสาลี อย่างไรก็ตามประชากรส่วนใหญ่ในภูมิภาคยังมีสัดส่วนของการบริโภคข้าวมากกว่าข้าวสาลี  การผลิตข้าวในภูมิภาคนี้จึงเป็นทั้งพืชอาหารหลัก  อาชีพ และวิถีชีวิตของครัวเรือนเกษตรในภูมิภาคไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ในภูมิภาคเอเชียใต้ยังเป็นแหล่งส่งออกข้าวที่สำคัญแหล่งหนึ่งของโลก โดยมีอินเดียเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญของภูมิภาค

การบริโภคข้าวของเอเชียใต้

            ภูมิภาคเอเชียใต้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกได้แก่อนุทวีปอินเดียได้แก่อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ และรวมถึงกลุ่มประเทศแถบเทือกเขาหิมาลัยได้แก่ เนปาล ภูฐาน และอัฟกานิสถาน ส่วนที่สองได้แก่กลุ่มประเทศที่มีพื้นทะเลล้อมรอบได้แก่ ศรีลังกาและมัลดีฟส์ ในภาพรวมแล้วภูมิภาคเอเชียใต้มีประชากรทั้งหมดประมาณ 1.78 ล้านคน ทั้งนี้อินเดียมีประชากรมากที่สุดถึงสามในสี่ส่วนของประชากรในภูมิภาค รองลงมาได้แก่ปากีสถานและบังคลาเทศ การมีประชากรจำนวนมากทำให้อินเดียมีสัดส่วนการบริโภคข้าวถึงร้อยละ 67.70 (ประมาณ 93.57 ล้านตัน)ของการบริโภคข้าวภายในภูมิภาค(ประมาณ 138 ล้านตันข้าวสาร)  (ตารางที่ 1) สำหรับอัตราการบริโภคข้าว ต่อคนของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้  โดยพิจารณาจากปริมาณการใช้ภายในประเทศหารด้วยจำนวน ประชากรของประเทศนั้นๆพบว่า บังคลาเทศมีสัดส่วนของการบริโภคข้าวต่อคนสูงที่สุดรองลงมาได้แก่ ภูฐาน ศรีลังกา และเนปาล ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของข้าวที่เป็นอาหารจานหลักในประเทศนั้นๆ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าปากีสถานและอัฟกานิสถานมีการบริโภคข้าวต่อบุคคลในสัดส่วนที่ต่ำซึ่งหมายถึงข้าวไม่ได้เป็นอาหารจานหลักของประชากรในประเทศดังกล่าว

                                                                             ตารางที่ 1 ประชากรและการบริโภคข้าวของประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้

ประเทศ ประชากร

(ล้านคน)a/

การบริโภค

(พันตันข้าวสาร)/

การบริโภคต่อคน

(ก.ก.)

อินเดีย 1,339.18 93,568b/ 69.87
ปากีสถาน 197.02 2,750b/ 13.96
บังคลาเทศ 164.67 35,000b/ 212.54
เนปาล 29.30 3,317c/ 113.21
ภูฐาน 0.80 129c/ 161.25
อัฟกานิสถาน 35.53 620b/ 17.45
ศรีลังกา 20.88 2,613c/ 125.14
มัลดีฟส์ 0.42 25d/ 58.61
รวม 1,787.80 138,022 77.20

ที่มา: a/ http://www.worldometers.info/world-population/southern-asia-population/

         b/ USDA : World Rice Trade, October 2017;; c/ http://ricepedia.net/

         d/  แปลงจากข้อมูลการนำเข้าจาก http://www.helgilibrary.com/

        การบริโภคข้าวต่อคนของอินเดียมีมากกว่าการบริโภคข้าวต่อคนของปากีสถานและอัฟกานิสถาน และมีน้อยกว่าการบริโภคข้าวต่อคนของบังคลาเทศและศรีลังกา เนปาลและภูฐาน ซึ่งบ่งบอกถึงการบริโภคข้าวและข้าวสาลีเป็นอาหารจานหลักในประเทศดังกล่าวแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคย่อย โดยภูมิภาคทางตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียจะมีการบริโภคข้าวสาลีเป็นหลักมากกว่าข้าว  ส่วนทางตอนใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันตกของอินเดียประชากรจะบริโภคข้าวเป็นอาหารจานหลักมากกว่าข้าวสาลี ส่วนประเทศมัลดีฟส์นั้นการบริโภคมีเพียง 24.62 พันตันเนื่องจากมีประชากรจำนวนน้อยและการบริโภคต่อคนมีประมาณ 58.61 ก.ก.ต่อคนต่อปี

การผลิตข้าวของเอเชียใต้และการพึ่งพิงตนเองในภูมิภาค

               การเพาะปลูกข้าวในเอเชียใต้ประกอบด้วยเกษตรกรขนาดเล็กเป็นจำนวนมากประมาณว่าในภูมิภาคเอเชียใต้มีครัวเรือนที่เพาะปลูกข้าวไม่น้อยกว่า 50 ล้านครัวเรือน[3] ทั้งนี้ FAO ได้รายงานว่าในภูมิภาคเอเชียใต้มีพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวโดยรวมประมาณ 378.22 ล้านไร่ และมีผลผลิตโดยรวมประมาณ  151.66 ล้านตันข้าวสาร (ตารางที่ 2)หรือประมาณร้อยละ  36.21 ของผลผลิตข้าวสารในทวีปเอเชีย ประเทศผู้ผลิตข้าวในภูมิภาคนี้จัดแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มที่หนึ่งเป็นกลุ่มประเทศ ที่พึ่งพิงตนองเรื่องข้าวได้อย่างสมบูรณ์โดยมีอุปทานผลผลิตมากกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศซึ่งได้แก่อินเดียและปากีสถาน ทั้งนี้อินเดียมีสัดส่วนของผลผลิตคิดเป็นร้อยละ 68.84 ของผลผลิตในภูมิภาค ส่วนปากีสถานมีสัดส่วนการผลิตเพียงร้อยละ 4.48 ซึ่งน้อยกว่าผลผลิตของบังคลาเทศ แต่การที่ประชากรในประเทศมีการบริโภคข้าวน้อยกว่า

                                                      ตารางที่ 2 พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และอุปทานผลผลิตส่วนเกินและส่วนขาดของประเทศในเอเชียใต้

ประเทศ พื้นที่เก็บเกี่ยว

(ล้านไร่)

การผลิต

(พันตันข้าวสาร)b/

อุปทานส่วนเกิน2/

(พันตันข้าวสาร)b/

กลุ่มประเทศที่พึ่งพิงตนเองเรื่องข้าวได้อย่างสมบูรณ์
อินเดีย 274.09 104,408 +10,840
ปากีสถาน 18.07 6,800 +4,050
รวม 292.16 111,208 14,890
                                                                                     กลุ่มประเทศที่ไม่สามารถพึ่งพิงตนเองเรื่องข้าวได้อย่างสมบูรณ์
บังคลาเทศ 70.75 34,580b/ -420b/
เนปาล 9.29 3,280c/ -37c/
ภูฐาน 0.13 50c/ -79c/
อัฟกานิสถาน 1.38 460b/ -160b/
ศรีลังกา 5.01 2,198c/ -415c/
มัลดีฟส์ -25d/
รวม 86.56 40,456 -1,136
รวมทั้งหมด 378.72 151,6648 +13,754

หมายเหตุ: +หมายถึงอุปทานผลผลิตส่าวนเกินและ-หมายถึงอุปทานผลผลิตส่วนขาด

ที่มา:  b/ USDA : World Rice Trade, October 2017; ;; c/ http://ricepedia.net/

          d/  แปลงจากข้อมูลการนำเข้า http://www helgilibrary.com/indicators/rice

การบริโภคข้าวสาลีทำให้ปากีสถานมีอุปทานผลผลิตข้าวส่วนเกินจากการใช้บริโภคภายในประเทศ ปริมาณผลผลิตข้าวส่วนเกินของสองประเทศนี้มีรวมกันประมาณ 14.89 ล้านตันข้าวสาร  โดยอินเดียมีอุปทานผลผลิตส่วนเกินถึงร้อยละ 72.80 ของอุปทานผลผลิตส่วนเกินในภูมิภาคและที่เหลืออีกร้อยละ 27.20 เป็นอุปทานผลผลิตส่วนเกินจากปากีสถาน ดังนั้น ทั้งสองประเทศดังกล่าวจึงพึ่งพิงตนเองเรื่องข้าวได้อย่างสมบูรณ์และมีปริมาณส่วนเกินส่งเป็นสินค้าออก

กลุ่มที่สองประกอบด้วยกลุ่มประเทศที่ไม่สามารถพึ่งพิงตนเองเรื่องข้าวได้อย่างสมบูรณ์เพราะมีปริมาณผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศและต้องนำเข้าข้าวมาเสริม ได้แก่ บังคลาเทศ ศรีลังกา เนปาล ภูฐาน และอัฟกานิสถาน ดังจะเห็นได้ว่าการมีประชากรจำนวนมากของบังคลาเทศและพื้นที่เพาะปลูกข้าวของประเทศที่ได้รับผลกระทบทั้งจากภัยน้ำท่วมและฝนแล้งอยู่เป็นประจำทำให้ปริมาณผลผลิตในแต่ละปีของบังคลาเทศมีไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศและต้องนำเข้าข้าวมาเสริมให้กับอุปทานผลผลิตภายในประเทศ ในขณะที่เนปาล ภูฐาน และอัฟกานิสถานมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวน้อยเพราะเป็นประเทศที่รายล้อมด้วยภูเขาสูงทำให้มีเนื้อที่การเกษตรค่อนข้างจำกัด

ส่วนประเทศศรีลังกาเนื่องจากเป็นประเทศที่มีทะเลล้อมรอบ พื้นที่ๆใช้เพาะปลูกข้าวมีจำกัดและต้องนำเข้าข้าวมาเพิ่มให้กับอุปทานผลผลิตในประเทศเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ ในกรณีของประเทศมัลดีฟส์ซึ่งเป็นหมู่เกาะเล็กๆใมหาสมุทรอินเดียพบว่าไม่มีพื้นที่เพาะปลูกข้าว ข้าวที่ใช้บริโภคภายในประเทศจึงเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งหมด

            ประเทศในกลุ่มที่สองนี้จะมีผลผลิตข้าวโดยรวมประมาณ 40.46 ล้านตัน และมีการใช้บริโภคภายในประเทศ 41.70 ล้านตัน ทำให้มีอุปทานผลผลิตไม่เพียงพอซึ่งนอกจากจะใช้จากสต็อกภายในประเทศแล้วยังได้นำเข้าข้าวอีกประมาณ 1.14 ล้านตัน[4] ในปี 2559

อย่างไรก็ตามหากหากพิจารณาถึงอุปทานส่วนเกินของผลผลิตส่วนเกินสุทธิในภูมิภาคแล้วพบว่ามีมากถึง 13.75 ล้านตัน[5] ซึ่งอุปทานส่วนเกินดังกล่าวจะถูกส่งออกไปยังนอกภูมิภาค

อินเดียผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของภูมิภาคเอเชียใต้

            ในภูมิภาคเอเชียใต้อินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ในภูมิภาค อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาอินเดียยังได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกข้าวลำดับหนึ่งของโลกอีกด้วย โดยในปี 2559 อินเดียมีปริมาณส่งออกข้าวรวม 9.99 ล้านตันข้าวสาร[6]   การส่งออกข้าวของอินเดียแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ข้าวบาสมาติ ข้าวนึ่ง และข้าวข้าวอื่นๆ  ทั้งนี้หากดูสัดส่วนการส่งออกข้าวทั้งสามชนิดในปี 2559 พบว่าอินเดียส่งออกข้าวบาสมาติมากที่สุดหรือร้อยละ 38.89 รองลงมาได้แก่ข้าวนึ่งร้อยละ 36.72 และข้าวสารขาวและอื่นๆร้อยละ 24.39 ตามลำดับ (ตารางที่ 3)

            ตลาดส่งออกข้าวของอินเดียหากแบ่งตามชนิดของข้าวพบว่า ตลาดข้าวบาสมาติที่สำคัญของอินเดียใน 5 ลำดับแรก ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน อิรัค และคูเวต ตลาดข้าวนึ่งของอินเดีย 5 ลำดับแรกได้แก่ เบนิน กินี-บิสเซา โซมาเลีย โกดดิวัวร์ และแอฟริกาใต้ ส่วนตลาดข้าวขาวของอินเดีย 5 ลำดับแรก ได่แก่ เนปาล สหรัฐอาหรับเอมิเรดส์  เตอร์กี  อิรัค และมาดากัสการ์  (ตารางที่ 4)

 

                                                                    ตารางที่ 3 ปริมาณการส่งออกข้าวของอินเดียแยกตามประเภทข้าวปี พ.ศ. 2559

ชนิดของข้าว การส่งออก
ชนิดของข้าว ปริมาณ(ตัน) ร้อยละ
ข้าวบาสมาติ 3,884,601 38.89
ข้าวนึ่ง 3,667,111 36.72
ข้าวขาวอื่นๆ 2,436,034 24.39
รวม 9,987,745 100.00

ที่มา: คำนวณจากข้อมูล Global Trade

adrotate banner=”3″]

                                                        ตารางที่ 4 การส่งออกข้าวแยกตามชนิดของอินเดียไปยังตลาดหลัก 5 ประเทศแรกในปี 2559

 

ประเภทข้าว ประเทศที่นำเข้าข้าวจากอินเดีย 5 ลำดับ
บาสมาติ ซาอุดีอาระเบีย(799,393 ตัน); สหรัฐอาหรับเอมิเรดส์(661,923ตัน); อิหร่าน(658,202ตัน); อิรัค(374,244ตัน); คูเวต(158,890ตัน)
ข้าวนึ่ง เบนิน(627,165ตัน); กินี-บิสเซา(497,028ตัน); โซมาเลีย(313,443ตัน); โกดดิวัวร์(263,684ตัน); อเมริกาใต้(250,897ตัน)
ข้าวขาว เนปาล(459,192ตัน); สหรัฐอาหรับเอมิเรดส์(141,652ตัน); เตอร์กี(138,022ตัน); อิรัค(112,981ตัน); และมาดากัสการ์(65,114ตัน)

ที่มา: คำนวณจากข้อมูล Global Trade

            เนื่องจากข้าวบาสมาติเป็นข้าวหอมและข้าวคุณภาพมีแหล่งผลิตจำเพาะในเอเชียใต้ โดยมีอินเดียเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ในภูมิภาค ตลาดการค้าข้าวบาสมาติของโลกมีประมาณ 4.5 ล้านตันในที่นี้

อินเดียเป็นผู้ถือครองตลาดประมาณสี่ในห้าส่วนของตลาดข้าวบาสมาติ คู่แข่งขันในตลาดข้าวหอมบาสมาติของอินเดียได้แก่ปากีสถานซึ่งมีปริมาณการส่งออกประมาณหนึ่งในห้าส่วนของการส่งออกข้าวบาสมาติ สำหรับตลาดข้าวนึ่งโลกที่มีอยู่ประมาณ 6 ล้านตันนั้น อินเดียเป็นผู้ถือครองตลาดข้าวนึ่งประมาณสามในห้าส่วนของตลาดข้าวนึ่งโลกโดยมีไทยเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญในตลาดการค้าข้าวนึ่งของอินเดีย สำหรับตลาดข้าวขาวซึ่งมีการแข่งขันสูงมากคู่แข่งขันที่สำคัญของอินเดียใตลาดการค้าข้าวสารขาวโลกได้แก่เวียดนาม ไทย และปากีสถาน

            ดังนั้น การพึ่งพิงตนเองเรื่องข้าวของประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้โดยเฉพาะอินเดียและปากีสถานยังสามารถมีผลผลิตข้าวส่วนเกินส่งเป็นสินค้าออก ยกเว้นบังคลาเทศ ศรีลังกา เนปาล อัฟกานิสถานและมัลดีฟส์ ที่ไม่สามารถพึ่งพิงตนเองได้อย่างสมบูรณ์และเป็นผู้นำเข้าข้าวทั้งจากในภูมิภาคและนอกภูมิภาค สำหรับประเทศอินเดียที่มีผลผลิตส่วนเกินจำนวนมากจะยังคงเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญในตลาดการค้าข้าวนึ่งและข้าวสารขาวของโลก สำหรับตลาดข้าวบาสมาติซึ่งมีความจำเพาะของตลาด อินเดียจะยังคงครองความเป็นผู้นำของตลาดข้าวดังกล่าวไปอีกนาน

 

[1] บทความนี้ได้เคยนำลงในนิตยสารข้าวไทย ฉบับที่ 61 ตุลาคม-ธันวาคม 2560

[2]  นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติและผู้ประสานงานชุดโครงการ ”งานวิจัยเชิงนโยบายเกษตรและเสริมสร้างเครือข่ายงานวิจัยเชิงนโยบาย”สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)

[3] IRRI “Rice in South Asia”

[4] ตัวเฃขปริมาณการนำเข้าจะไม่เท่ากับปริมาณผลผลิตหักด้วยปริมาณการบริโภค เพราะบางส่วนอาจจะใช้สต็อกที่เก็บไว้ในประเทศมาเสริม

[5] คำนวณจากปริมาณผลผลิตทั้งหมดหักด้วยปริมาณการบริโภคทั้งหมดในภูมิภาค

[6] ข้อมูลจาก Global Trade