วันนี้ “ธนิต สมแก้ว” เกษตรอินทรีย์ดีเด่นแห่งชาติปี 66 จากนักธุรกิจสู่เกษตรกรต้นแบบมืออาชีพ

  •  
  •  
  •  
  •  
ย้อนอดีต “ธนิต สมแก้ว” เกษตรอินทรีย์ดีเด่นแห่งชาติคนล่าสุด เดินบนเส้นทางธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปี และบอกตัวเองว่าอายุเข้าสู่วัยเกษียณ กลับใช้ชีวิตสู่เกษตรกรเต็มขั้นหันมาปลูกทำเกษตรอินทรีย์ จนกลายเป็นต้นแบบมืออาชีพของจังหวัดพัทลุง 

       นายระพีภัทร์  จันทรศรีวงศ์  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  เปิดเผยว่า ในปี 2566 นอกจากกรมวิชาการเกษตรจะคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP)  เพื่อเข้ารับพระราชทานโล่รางวัลในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ พลับพลาที่ประทับมณฑลพิธีท้องสนามหลวงแล้วยังคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาเกษตรอินทรีย์ ด้วย โดยผู้ที่ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาเกษตรอินทรีย์ในปี 2566  คือ นายธนิต สมแก้ว เกษตรกร ตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

นายธนิต ประกอบอาชีพเป็นนักธุรกิจมานานกว่า 30 ปี เมื่ออายุครบ 60 ปี ต้องการเกษียณตัวเองและอยากจะมีอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษไว้บริโภค เนื่องจากเห็นว่าในปัจจุบันอาหารที่จำหน่ายในท้องตลาดมีสารเคมีตกค้างมาก จึงมีความคิดที่จะ “เปลี่ยนความกลัวในการบริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัยมาสู่การทำการเกษตรที่ปลอดภัยด้วยตนเอง” โดยนำความรู้ที่ได้ศึกษามาและสอบถามจากผู้รู้ในพื้นที่นำมาใช้ภายในแปลง  พร้อมกับเริ่มวางแผนผังและระบบน้ำภายในแปลง ส่วนการปลูกพืชนั้นได้แยกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ไว้บริโภคและลดรายจ่าย กับส่วนที่ไว้สร้างรายได้ในครัวเรือน พร้อมกับติดต่อศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพัทลุง กรมวิชาการเกษตรเพื่อขอรับรองแหล่งผลิตพืช GAP โดยได้รับการรับรองพืช มะละกอ ตะไคร้และกล้วยหอม  หลังจากนั้นได้ขอปรับเปลี่ยนพื้นที่เข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์จนได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในปี 2564

  

ดินเป็นหัวใจของการปลูกพืช หากมีธาตุอาหารในดินที่เพียงพอจะทำให้พืชเจริญเติบโตดี แข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลง ถือปัจจัยสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในการผลิตพืชอินทรีย์มีคุณภาพ แต่ปัญหาส่วนใหญ่ในการผลิตพืชอินทรีย์ที่สวนมังกรทองของนายธนิตคือดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ และมีความเป็นกรดสูง จึงทำการปรับปรุงดินโดยเติมอินทรียวัตถุ 6 ตัน/ไร่ และยังผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากขยะอินทรีย์ภายในแปลงใช้เอง  ซึ่งมีการผลิตปีละ ๓๐๐ ตัน  จากการทำปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตเองภายในแปลง ทำให้ดินกลับมามีความอุดมสมบูรณ์มีอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดินสูง สามารถเพาะปลูกพืชได้ผลดี

นอกจากนี้ ยังมีการปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของตลิ่งและลดการชะล้างหน้าดิน ปลูกพืชตระกูลถั่ว ปอเทืองและเลี้ยงแหนแดง เพื่อปรับปรุงดิน  รวมทั้งยังมีการเติมน้ำหมักจุลินทรีย์ท้องถิ่นร่วมกับปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงดินอีกทางหนึ่งด้วย  จากการที่ภายในแปลงมีการปรับปรุงบำรุงดินอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พืชมีความสมบูรณ์และให้ผลผลิตสูง โดยเฉพาะมะละกอ มีรสหวานฉ่ำ และมีกลิ่นหอม จนร้านค้าในจังหวัดพัทลุงให้ฉายาว่า “papaya aroma”

การควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชนายธนิตเน้นการป้องกัน มีการสำรวจการระบาดของศัตรูพืชและสภาพการเจริญเติบโตของพืช ใช้จุลินทรีย์ธรรมชาติและน้ำหมักจุลินทรีย์ ๗ ชนิด เพื่อป้องกันศัตรูพืช เช่น น้ำหมักพืช น้ำหมักผลไม้สุก น้ำหมักสมุนไพร น้ำหมักนมเปรี้ยว  น้ำหมักเปลือกไข่ น้ำหมักกระดูกสัตว์ น้ำหมักรกหมู ซึ่งน้ำหมักแต่ละประเภท จะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน  เป็นการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตในการซื้อฮอร์โมน วิตามิน และสารกำจัดแมลงศัตรูพืชภายในแปลง  โดยใช้น้ำหมัก 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร และเชื้อราขาวฉีดพ่นทุก 6 เดือน  รวมทั้งยังปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรชีวิตของศัตรูพืช และกำจัดวัชพืชเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของศัตรูพืช

การจัดการผลผลิตมีการควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้ขนาด เก็บเกี่ยวผลผลิตตามอายุที่เหมาะสมของพืชและผลผลิตมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดและรสชาติดี  ไม่มีการปนเปื้อนในระหว่างการจัดการผลผลิต ซึ่งภายในแปลงจะมีห้องสำหรับทำความสะอาด และห้องคัดแยกเกรดผลผลิตในโรงคัดแยกที่สะอาด  โดยคัดแยกผลผลิตที่เสียหายและไม่ได้คุณภาพออกก่อนนำไปจำหน่าย ล้างผลผลิตด้วยน้ำสะอาด และห่อผลผลิตด้วยวัตถุกันกระแทกก่อนบรรจุลงกล่อง  พร้อมกับหาช่องทางการตลาดใหม่ๆมาโดยตลอด มะละกอและกล้วยหอมเกรด A จะส่งขายในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าในพื้นที่ เช่น แมคโคร โลตัส ร้านอาหารหลานตาชูและร้านมังกรทองโฮมมาร์ท  เกรดรองลงมาจะขายให้กับพ่อค้าทั่วไป ส่วนผลผลิตที่ไม่ได้คุณภาพจะนำไปทำปุ๋ยหมักและเป็นอาหารสัตว์ภายในแปลง นอกจากนี้ยังวางแผนการผลิตโดยปลูกพืชยืนต้นแซมพืชอายุสั้น เพื่อสร้างรายได้ให้กับสวน  โดยในปี 2565 มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต 420,000 บาท

จากความมุ่งมั่นในการทำการเกษตรจนกลายเป็นแบบอย่างของคนอื่นๆ ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองตลอดเวลา มีความวิริยะอุตสาหะ และมีความแน่วแน่ในการที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ คือการทำเกษตรอินทรีย์ให้ประสบความสำเร็จเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับคนในชุมชน  ทำให้สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้สร้างอาชีพใหม่ให้แก่คนในชุมชน และคนที่สนใจทั่วไป ทำให้นายธนิตได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการสำคัญและประธานกลุ่มองค์กร ได้แก่ ประธานกลุ่มเกษตรธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งได้นำแปลงเกษตรของตนเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพ่อ  เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชนและบริเวณใกล้เคียง มีทั้งบุคคลทั่วไป สถานศึกษา ผู้นำชุมชน รวมถึงชาวต่างชาติเข้ามาศึกษาดูงานด้านการผลิตพืชอินทรีย์จำนวนมาก