กรมส่งเสริมการเกษตร แนะวิธีสกัดโรคราน้ำค้าง ชี้ระบาดช่วงอากาศเย็น

  •  
  •  
  •  
  •  

กรมส่งเสริมการเกษตร เตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคราน้ำค้าง ชี้ช่วงอากาศเย็น ความชื้นสูงฝนตก มีลม และน้ำฝน รวมถึงเครื่องมือทางการเกษตรเป็นพาหะการระบาด แนะใช้เมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพจากแหล่งปลอดโรค นำมาแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่นอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 20-30 นาที คลุกด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช

นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ช่วงนี้มีมวลอากาศเย็นปกคลุมประเทศไทยตอนบน และมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดมาปกคลุมบริเวณอ่าวไทย ทำให้โดยรวมอากาศเย็นและบางพื้นที่ยังคงมีฝนตก กรมส่งเสริมการเกษตร จึงขอฝากเตือนไปยังพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ควรหมั่นดูแลและสำรวจแปลงเพาะปลูกพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเข้าทำลายของโรคราน้ำค้าง (Downy mildew) ซึ่งเป็นโรคพืชที่พบการระบาดมากในช่วงอากาศเย็น ความชื้นสูง และฝนตก ทำให้เชื้อราสาเหตุโรคสามารถแพร่ระบาดได้ดีไปกับ ลม และน้ำฝน หรือเครื่องมือทางการเกษตร และการเคลื่อนย้ายพืชปลูก ดังนั้น เมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ต้องกำจัดเศษซากพืช และวัชพืชในแปลง โดยนำออกไปทำลายนอกแปลงทันที เพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยข้ามฤดูของเชื้อราสาเหตุได้

นอกจากนี้ เกษตรกรควรปลูกพืชอื่นหมุนเวียน ใช้เมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพจากแหล่งปลอดโรค โดยแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่นอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 20-30 นาที หรือคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น เมทาแลกซิล 35% DS อัตรา 7 กรัมต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม หรือ เมทาแลกซิล-เอ็ม 35% ES อัตรา 3.5 มิลลิลิตรต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม หรือ ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 30 กรัมต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค รวมทั้งไม่ปลูกพืชในระยะชิดกันเกินไป เพื่อช่วยระบายอากาศและความชื้นในแปลง หลีกเลี่ยงการให้น้ำในตอนเย็น หรือช่วงอากาศเย็นมีความชื้นสูง และหมั่นสำรวจแปลงปลูกอยู่เสมอ

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า โรคราน้ำค้างสามารถเข้าทำลายพืชได้หลายชนิด เช่น พืชตระกูลแตง พืชตระกูลกะหล่ำและผักกาด ข้าวโพด และองุ่น เป็นต้น โดยเชื้อราสาเหตุของโรคราน้ำค้าง มักฝังอยู่ในเศษซากพืชที่ตกค้างในแปลง วัชพืช รวมทั้งพืชอาศัยอื่น และสามารถมีชีวิตอยู่ในดินได้นานหลายปี โดยจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ประมาณ 18 – 25 องศาเซลเซียส และมีความชื้นในแปลงสูง หากเข้าทำลายพืชปลูกจะสร้างความเสียหายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต ทำให้ผลผลิตพืชลดลง รวมถึงขนาดและคุณภาพลดลงด้วย หากอาการรุนแรงจะทำให้ใบเหลืองและแห้งตายทั้งต้น

สำหรับวิธีการสังเกตและสำรวจเพื่อป้องกันโรคราน้ำค้างในแปลงปลูก ขอแนะนำให้เกษตรกรหมั่นสำรวจแปลงปลูกในช่วงเช้าเนื่องจากมีอากาศค่อนข้างเย็นและมีความชื้นสูง โดยพลิกดูใต้ใบพืช หากพบเส้นใยสีขาวหรือเทาคล้ายปุยฝ้าย หรือจุดแผลรูปสี่เหลี่ยม ให้ป้องกันกำจัดทันทีโดยพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น ไดเมโทมอร์ฟ 50% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นให้ทั่วทั้งด้านบนใบและใต้ใบ ทุก 5-7 วัน และหากพบปัญหาเกี่ยวกับศัตรูพืชเข้าทำลาย สามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือสำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน