เลือกสวนยางพาราที่นครศรีฯ 2 หมื่นไร่ นำร่อง “คาร์บอนเครดิต” หวังลดก๊าซเรือนกระจก-เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

  •  
  •  
  •  
  •  

กระทรวงเกษตรฯเลือกพื้นที่สวนยางพาราในจังหวัดนครศรีธรรมราชกว่า 2 หมื่นไร่ นำร่อง “บริหารจัดการ คาร์บอนเครดิตในพื้นที่สวนยางพารา” เพื่อลดปริมาณการปล่อยหรือดูดกลับก๊าซเรือนกระจก และสามารถนำไปซื้อขายได้ หวังเพิ่มรายได้ให้ชาวสวนยาง ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เริ่มในปี 2565-2567 ก่อนขยายสู่สวนยางพาราทั่วประเทศกว่า 22 ล้านไร่

   นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวระหว่างแถลงข่าว วันนี้ (29 ต.ค.64) ที่กระทรวงเกษตรฯ ว่า ปัญหาสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบโดยตรงต่อภาคการเกษตรทั้งในเรื่องของการเพาะปลูก ผลผลิต จนส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร ประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่เกษตรกรรมครอบคลุมทั่วประเทศได้รับผลดังกล่าวเช่นกัน

                                                       อลงกรณ์ พลบุตร

     ดังนั้นกระทรวงเกษตรฯ โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จึงได้ดำเนินโครงการ “บริหารจัดการ คาร์บอนเครดิตในพื้นที่สวนยางพารา” หรือโครงการลดปริมาณการปล่อยหรือดูดกลับก๊าซเรือนกระจก และสามารถนำไปซื้อขายได้ เป็นการเพิ่มรายได้จากสวนยางอีกทางหนึ่งของเกษตรกร ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

     ทั้งนี้ดำเนินการภายใต้นโยบาย BCG MODEL ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล (Green Economy) สอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ที่ได้ลงนามในพิธีสารโตเกียว (Kyoto Protocol) ในการส่งเสริมโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จัดทำมาตรฐานการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต รวมทั้งส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรอง

     นอกจากโครงการของ กยท. แล้ว ทางดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ยังได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ รับนโยบายดังกล่าวไปดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 หรือ CO P26 ต่อไป

                                                ณกรณ์ ตรรกวิรพัท 

   ด้านนายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ บริหารจัดการคาร์บอนเครดิตในพื้นที่สวนยางพารา จะนำสวนยางพาราของ กยท.จำนวน 20,000 ไร่ ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ใช้เป็นพื้นที่ต้นแบบเพื่อนำข้อมูล ความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดสู่เกษตรกร/สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบกิจการยาง และผู้ที่สนใจทั่วไป

     โดยมีการดำเนินงาน 2 ขั้นตอนคือ ในปี 2565 กยท.จะขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) และในปี 2566-2567 ดำเนินการขอรับรองคาร์บอนเครดิต เพื่อขายในตลาด CARBON MARKET ต่อไป

     ทั้งนี้จากการวิจัยในเรื่องคาร์บอนเครดิตพบว่า ยางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่มีการกักเก็บคาร์บอนได้ดี สามารถเก็บได้ตั้งแต่อายุต้นยาง 1–18 ปี โดยเฉพาะในช่วง 1-5 ปีแรกก่อนเปิดกรีด เกษตรกรชาวสวนยางจะสามารถเพิ่มรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตในช่วงก่อนเปิดกรีดได้ ควบคู่กับการลดใช้ปุ๋ยเคมีและปัจจัยการผลิตต่างๆ รวมถึงลดการใช้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต หรือการขนส่ง ที่จะส่งผลก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

      “กยท. จะขยายพื้นที่การดำเนินโครงการดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่สวนยางพาราทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีสวนยางพาราอยู่ภายใต้การดูแลของ กยท. ประมาณ 22 ล้านไร่  เพื่อส่งเสริมพัฒนาสู่เศรษฐกิจสีเขียวและสังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางอีกทางหนึ่ง” ผู้ว่าฯ กยท.กล่าว