นักวิจัยคณะเกษตร มก.พัฒนาต้นแบบปลูกกัญชา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์รูปแบบใหม่ “ระบบปิด” ควบคุมอุณหภูมิที่ 24 -28 °C ความชื้นสัมพัทธ์ที่ 50 – 60 % เปิดแสงสว่างนานวันละ 18 ชั่วโมง มืด 6 ชั่วโมง ช่วงสร้างช่อดอกเปิดแสงสว่างเท่ากันมืด-สว่าง 12 ชั่วโมง/วัน เผยผลการทดลองทำให้ตายอดต้นกัญชาเปลี่ยนจากการสร้างใบมาเป็นการสร้างช่อดอกแทน และสามารถให้ผลผลิตช่อดอกแห้งต้นละ 162.85 กรัม ปลูกได้ปีละถึง 4 รอบให้ผลผลิตสม่ำเสมอ และมีคุณภาพเหมือนกัน
รศ.ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย คณบดีคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยการปลูกและสกัดสารสำคัญจากกัญชาเพื่อการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ คณะเกษตร เปิดเผยว่า คณะเกษตร มก. ได้ห็นความสำคัญเกี่ยวกับการปลูกกัญชา ซึ่งพืชเศรษฐกิจที่จะนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทำให้นักวิจัยของคณะเกษตร ได้คิดค้นนวัตกรรมในการปลูกและผลิตกัญชาในระบบปิด (indoor)
รศ.ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย
ทั้งนี้เพื่อทำการวิจัยและเพิ่มศักยภาพในการที่จะนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเริ่มดำเนินการตามแนวทางการกำกับของคณะกรรมการพืชเสพติดของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา และได้รับอนุญาตให้ดำเนินการวิจัยกัญชา จึงได้ร่วมมือกับภาคเอกชนเดินหน้าพัฒนาห้องปลูกและห้องสกัดสารสำคัญจากกัญชา ในอาคารวชิรานุสรณ์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ
สำหรับโครงการวิจัยนี้จะพัฒนาเป็นต้นแบบการปลูกกัญชาระบบปิด โดยมีทีมคณะนักวิจัยของคณะเกษตร ประกอบด้วย รศ.ดร.สุตเขตต์ นาคะเสถียร ภาควิชาพืชไร่นา รศ.ดร.พัชรียา บุญกอแก้ว ภาควิชาพืชสวน รศ.ดร.ธิดา เดชฮวบ ภาควิชาโรคพืช นายนฤพนธ์ น้อยประสาร และ น.ส.อมรรัตน์ ม้ายอง
รศ.ดร.ธานี กล่าวอีกว่า โครงการนี้ ได้รับงบประมาณสนับสนุนในการพัฒนาห้องปลูกและห้องสกัดจาก บริษัท ทีเอช แคนนา จำกัด จำนวน 6.5 ล้านบาท และเครื่องมือสกัดสาระสำคัญ จำนวน 2.0 ล้านบาท และงบประมาณดำเนินงานปี 2564 – 2566 อีกจำนวน 2.0 ล้านบาท จาก บริษัท กรีนคัลติเวชั่น จำกัด โครงการวิจัยการปลูกและสกัดสารสำคัญจากกัญชาเพื่อการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ คณะเกษตรได้ใบอนุญาตการปลูกและนำเข้ากัญชา (ใบอนุญาตปลูกเลขที่ 30/2563) จากกองควบคุมวัตถุเสพติด กระทรวงสาธารณสุขแล้ว
จึงได้สั่งซื้อเมล็ดพันธุ์กัญชาสายพันธุ์ CBD Charlotte Angle จากบริษัทเอกชน ประเทศเนเธอร์แลนด์ จำนวน 150 เมล็ด มาปลูกในระบบปิด (indoor) หรือ “plant factory with artificial light (PFAL)” โดยใช้ห้องปลูก 2 ห้องในอาคารวชิรานุสรณ์ คณะเกษตร คือ ห้องปลูกเพื่อการเจริญเติบโตทางลำต้น (vegetative growth room) ที่มีการควบคุมช่วงแสงยาว คือมีการเปิดแสงสว่างนาน 18 ชั่วโมง และมืด 6 ชั่วโมงต่อวัน และห้องปลูกเพื่อการสร้างช่อดอก (reproductive growth room) ที่มีการควบคุมช่วงแสงสั้น คือมีการเปิดแสงสว่างนาน 12 ชั่วโมง และมืด 12 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งในสภาพแบบนี้จะทำให้ตายอด (apical meristem) ของต้นกัญชาเปลี่ยนจากการสร้างใบมาเป็นการสร้างช่อดอกแทน
“การปลูกกัญชาในระบบปิด (indoor) จะควบคุมสภาพแวดล้อม ได้แก่ อุณหภูมิที่ 24 – 28 °C ความชื้นสัมพัทธ์ที่ 50 – 60 % การเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซต์ที่ความเข้มข้น 1,000 ppm และมีพัดลมเพื่อการกวนอากาศให้มีการเคลื่อนไหว นอกจากนี้การปลูกในระบบปิดจะปลูกต้นกัญชาในวัสดุเพาะที่ ไม่มีธาตุอาหารและสารปนเปื้อนอื่น จึงต้องมีการให้ธาตุอาหารมากับระบบน้ำหยด” รศ.ดร.ธานี กล่าวและว่า หลังจากปลูกได้ต้นกล้าอายุได้ 3 – 4 สัปดาห์ หรือมีใบจริง 5 – 6 คู่ใบ
จากนั้นจึงเริ่มตัดแต่งทรงต้น (training) โดยใช้เทคนิคการตัดยอด (topping) เพื่อให้ตาข้างแตกเป็นยอดออกมา และตัดยอดแบบนี้ประมาณ 3 – 4 ครั้งเพื่อให้ได้ยอดประมาณ 12 – 16 ยอดต่อต้น และเลี้ยงไว้ในห้องปลูกประมาณ 6 สัปดาห์ ซึ่งสามารถวางกระถางชิดกันได้ จากนั้นย้ายต้นที่ได้ไปอีกห้องปลูกเพื่อกระตุ้นการสร้างตาดอก ในห้องปลูกจะจัดระยะถางเป็น 40 x 40 เซนติเมตร มีการขึงตาข่ายและมีการใช้เทคนิคการปิดต้น (super cropping) เพื่อช่วยบังคับแต่ละยอดให้กระจายเต็มพื้นที่ และทำให้ยอดอยู่ในระดับเดียวกัน
หลังจากย้ายต้นเข้าห้องนี้มา 2 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นเพศของต้นกัญชา และทำการสำรวจเพศของต้นกัญชาทุกต้น ถ้าต้นใดเป็นตัวผู้จะคัดออก ดังนั้นต้นกัญชาที่ปลูกทั้งหมด 108 ต้น จะเป็นเมล็ดพันธุ์ต้นตัวเมียเท่านั้น (feminized seed)
เมื่อต้นกัญชาอยู่ในห้องปลูกครบ 11 สัปดาห์ ก็ทำการเก็บเกี่ยวโดยใช้กรรไกรตัดที่โคนต้น แล้วนำต้นที่ได้มาแขวนตาก (drying) ในห้องมืดที่ควบคุมอุณหภูมิ 22 – 24°C และความชื้นสัมพัทธ์ที่ 60 % เพื่อให้ช่อดอกกัญชาค่อยๆ แห้ง ใช้ระยะเวลาประมาณ 10 – 14 วัน ช่อดอกที่แห้งจะมีความชื้นประมาณ 10 % แล้วนำไปบ่ม (curing) ในภาชนะปิดอีก 3 – 4 สัปดาห์ จากนั้นจึงนำช่อดอกที่ผ่านการบ่มแล้วไปลงบันทึกจำนวน และน้ำหนัก แล้วเก็บไว้ในห้องเก็บผลผลิตหรือนำไปสกัดสารสำคัญเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
คณบดีคณะเกษตร ม กล่าวต่อไปว่า การปลูกกัญชาในระบบปิดที่ควบคุมปัจจัยการเจริญเติบโตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยสภาพแวดล้อม และธาตุอาหารที่ให้กับต้นพืช การปลูกในวัสดุเพาะที่ปราศจากสารปนเปื้อนในดิน การควบคุมสภาพแวดล้อม และการดูแลรักษาห้องปลูกให้ปราศจากศัตรูพืช จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารกำจัดศัตรูพืช และจากการควบคุมปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของกัญชา ส่งผลให้ได้ผลผลิตช่อดอกแห้งที่ได้จากการปลูกครั้งแรกจำนวน 162.85 กรัม/ต้น
อย่างไรก็ตามทีมคณะนักวิจัยคาดการณ์ว่าจะสามารถเพิ่มผลผลิตต่อต้นให้มากกว่านี้ หากปรับปริมาณการให้ปัจจัยการเจริญเติบโต และการคัดเลือกต้นพันธุ์ที่เหมาะสมต่อไป การปลูกในระบบปิดแบบนี้จะปลูกกัญชาได้ถึง 4 รอบต่อปี และผลผลิตที่ได้ออกมาแต่ละรอบจะสม่ำเสมอ และมีคุณภาพเหมือนกัน ผลผลิตช่อดอกที่ได้ตรงตามคุณลักษณะของสายพันธุ์ ปราศจากการปนเปื้อนของโลหะหนัก สารกำจัดศัตรูพืช และสารพิษจากเชื้อราที่จะเกิดที่ช่อดอก เหมาะสำหรับเป็นวัตถุดิบเริ่มต้นสำหรับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ หรือการใช้ประโยชน์อื่นต่อไป
วิธีการเพิ่มศักยภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิตที่ได้ให้สูงขึ้น ซึ่งทีมวิจัยได้พัฒนาวิธีการสกัดสารสำคัญด้วยวิธี cool ethanol เพื่อให้ได้น้ำมัน CBD ในระดับ medical grade จากช่อดอกให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน ตลอดจนพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีคุณลักษณะเด่นเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เฉพาะ รวมถึงการพัฒนาให้เป็นศูนย์เรียนรู้ การฝึกอบรม การเรียนการสอนการผลิตกัญชาในระบบปิด และการนำผลผลิตไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ หรือประโยชน์อื่น
โดยมีหน่วยงานเครือข่าย อาทิ องค์การเภสัชกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แก่คณะสัตวแพทยศาสตร์ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร และภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร เป็นต้น
ผู้สนใจต้นแบบการปลูกและสกัดสารสำคัญจากกัญชาเพื่อการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ คณะเกษตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รศ.ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย คณบดีคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โทรศัพท์ 08 1390 0091 หรือ หรือ e-mail : taneesree@yahoo.com
ข่าวโดย…นางยุพดี คล้ายรัศมี