เข้าหน้าฝนอย่างเป็นทางการ กรมชลฯแนะปลูกนาปีได้แล้ว แต่…ให้เน้นใช้น้ำฝนเป็นหลัก

  •  
  •  
  •  
  •  

กรมชลประทาน ทำประชาสัมพันธ์เชิงรุกในพื้นที่เขตชลประทาน ให้เกษตรกรเพาะปลูกข้าวนาปี ให้สอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ เน้นให้ทำนาพร้อมกัน ในพื้นที่ที่มีฝนตกเพียงพอและสม่ำเสมอ โดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก เผยหากมีช่วงเวลาฝนตกน้อยจะใช้น้ำชลประทานเสริมให้ 

     กราชลประทานรายงานล่าสุดว่า ปัจจุบัน (19 พ.ค. 64) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 35,953 ล้าน ลบ.ม.  คิดเป็นร้อยละ 47 ของความจุอ่างฯรวมกัน ยังรับน้ำรวมกันได้อีกประมาณ 40,114 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 8,736 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 35 ของความจุอ่างฯรวมกัน ยังรับน้ำรวมกันได้อีกประมาณ 16,134 ล้าน ลบ.ม.

     ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาการ ได้ประกาศเข้าสู่ฤดูฝนปี 2564 อย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 กรมชลประทาน ได้สั่งการให้โครงการชลประทานทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์เชิงรุกในทุกพื้นที่เขตชลประทาน ให้เกษตรกรทำนาปีพร้อมกัน หากในพื้นที่มีปริมาณฝนตกสม่ำเสมอและมีปริมาณน้ำเพียงพอ โดยให้ใช้น้ำฝนเป็นหลัก และหากเกษตรกรเพาะปลูกแล้ว ในช่วงที่เกิดภาวะฝนตกน้อย จะใช้น้ำชลประทานเข้าไปเสริมน้ำฝน ทั้งนี้ การเพาะปลูกนาปีเร็วขึ้น จะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทันก่อนน้ำหลากจากมา ช่วยลดผลกระทบจากผลผลิตเสียหายได้เป็นอย่างมาก

       นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำตามมาตรการที่วางไว้ ด้วยการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศให้เพียงพอตลอดทั้งปี วางแผนการปลูกพืชโดยใช้น้ำฝนเป็นหลักพร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปฏิทินการเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสม โดยไม่กระทบต่อเกษตรกร  พร้อมกับบริหารจัดการน้ำท่าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำให้ได้มากที่สุดเป็นไปตามเกณฑ์เก็บกัก (RULE CURVE) ควบคู่ไปกับการวางแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัย การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย กำหนดเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ จัดสรรเครื่องจักร เครื่องมือ ประจำพื้นที่เสียงอุทกภัย ให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญได้เน้นย้ำให้มีการตรวจสอบเขื่อนและอาคารชลประทานให้พร้อมรับสถานการณ์น้ำหลากได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ผักตบชวาและวัชพืชต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด