กรมส่งเสริมสหกรณ์จับมือกรมวิชาการเกษตร เตรียมสหกรณ์นำร่องผลิตเมล็ดพันธุ์กัญชงป้อนอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง น้ำมันเมล็ดกัญชง และอาหารสัตว์ คาดว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ (กสส.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมการผลิตพืชเศรษฐกิจกัญชงโดยสถาบันเกษตรกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตรโดยมีนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ร่วมหารือด้วยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีความต้องการกัญชงเพื่อป้อนระบบอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และน้ำมันเมล็ดกัญชง อาหารสัตว์ ฯลฯ คาดว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ แต่เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีการส่งเสริมการปลูกมาก่อนหน้านี้ เหตุติดเงื่อนไขทางกฎหมายจนเมื่อรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขปลดล็อคประกอบกับสรรพคุณมากมายทำให้หลายอุตสาหกรรมเริ่มวางแผนที่จะนำชิ้นส่วนพืชกัญชงมาใช้ในระบบอุตสาหกรรม ซึ่งกรมจะได้เตรียมทำตลาดกลางกัญชา/กัญชงของสหกรณ์เพื่อเป็นผู้กำหนดระบบการซื้อขาย ตามกลไกของตลาด โดยมีอย.และกรมวิชาการเกษตรร่วมด้วย
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ไทยจะส่งเสริมการปลูก กรมวิชาการเกษตรจึงได้มาหารือถึงแนวทางในการส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรเป็นหน่วยงานที่จะปลูกกัญชงเป็นเมล็ดหรือต้นเพื่อป้อนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์เห็นว่าควรจะนำร่องในสหกรณ์ที่มีความเหมาะสมทั้งเชิงพื้นที่ และบางสหกรณ์เคยอยู่ในโครงการปลูกกัญชาทางการแพทย์โดยสหกรณ์ที่มาหารืออาทิ สหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด จังหวัดบุรีรัมย์ สหกรณ์การเกษตรปักธงชัย จำกัด สหกรณ์การเกษตรด่านขุนทด จำกัด จังหวัดนครราชสีมา และสหกรณ์การเกษตรลานสัก จำกัด จังหวัดอุทัยธานี
หลังการหารือผู้จัดการสหกรณ์จะไปประชุมกับสมาชิกที่ประสงค์จะเข้าโครงการเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เพื่อให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามที่กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตการผลิต นำเข้าส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง(Hemp) พ.ศ.2563 กำหนดไว้ต่อไป ซึ่งอนาคตหากสหกรณ์นำร่องประสบผลสำเร็จก็จะเป็นตัวอย่างให้ขยายไปสถาบันการเกษตรอื่นๆเพราะมีตลาดรองรับเนื่องจากเงื่อนไขของการอนุญาตกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีตลาดรองรับ มีการแสดงการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์
พิเชษฐ์ วิริยะพาหะ
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร(กวก.) กล่าวว่าหลังจากกฎหมายเปิดแล้วภาคอุตสาหกรรมหลายแห่งได้แสดงความต้องการที่จะใช้เมล็ดกัญชงและชิ้นส่วนพืชไปป้อนในระบบอุตสาหกรรมในหลายด้าน แต่ในประเทศไม่เคยมีการอนุญาตให้ปลูกมาก่อน อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนในไทยนั้นเป็นสายพันธุ์ที่ให้เส้นใยเท่านั้น ดังนั้นกวก.จึงต้องการให้สถาบันเกษตรกรเป็นสถาบันที่จะปลูกเมล็ดพันธุ์ในระบบจีเอพีป้อนให้กับตลาดในประเทศ จึงต้องสร้างความร่วมมือกับกสส.เพื่อให้สหกรณ์นำร่องได้กลับไปหารือกับสมาชิกที่ประสงค์เข้าโครงการและให้แจ้งความประสงค์มายังโครงการเพื่อประสานกับอย.ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยกวก.จะเป็นพี่เลี้ยงในทางวิชาการ
นายพิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า การปลูกเกษตรกรจะต้องเริ่มดำเนินการในช่วงฤดูฝน ส่วนพื้นที่อื่นๆที่ต้องการปลูกนั้นจะเป็นระยะต่อไป โดยขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการจัดทำแผนที่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ใดมีศักยภาพในการปลูกออกมา ซึ่งจะมาจากลักษณะดิน อากาศ ปริมาณน้ำฝนเป็นเกณฑ์พิจารณาส่วนมากเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ปลูกข้าวโพด และคาดว่าประมาณปลายปี 2564 เมื่อมีผลผลิตชุดนี้ออกมาจะนำมาสู่การขยายการส่งเสริมการปลูกเพื่อป้อนระบบอุตสาหกรรมต่อไป ซึ่งเบื้องต้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งได้แจ้งความประสงค์ว่าต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมและพร้อมที่จะรองรับผลผลิตที่ออกมา ปัจจุบันเมล็ดกัญชงราคาจำหน่ายประมาณกิโลกรัมละ 5,000 บาทมีประมาณ 40,000 – 50,000 เมล็ดต่อกก.
สำหรับในการประชุมตัวแทนสหกรณ์ทั้ง 4 แห่งที่มาร่วมหารือแสดงความสนใจที่จะเข้าโครงการและต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) หรือกองทุนพัฒนาสหกรณ์(กพส.)ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรได้จำแนกต้นทุนการผลิตที่กรมได้มีการเก็บข้อมูลไว้เบื้องต้นพอสังเขปพบว่า ต้นทุนการผลิตต่อไร่กรณีผลิตเป็นเมล็ดจะอยู่ที่ประมาณ 8,242.18 บาท/ไร่ รายได้ประมาณ 26,250 บาท/ไร่ กำไรสุทธิประมาณ 18,007.82 บาท/ไร่สำหรับต้นทุนต้นสดอยู่ที่ประมาณ9,028 .82 บาท/ไร่ รายได้ต่อไร่ประมาณ22,500 บาท กำไรสุทธิประมาณ12,471.18 บาท/ไร่ ระยะเวลาการผลิต 180 วัน