พิษปรับภาษีสรรพมิตรยาเส้นค้างสล๊อกกว่า 300 ตัน “นราพัฒน์-อลงกรณ์” รุดพบเกษตรกรหาทางช่วยด่วน

  •  
  •  
  •  
  •  
“เฉลิมชัย” มอบ “นราพัฒน์-อลงกรณ์” ลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรชาวไร่ยาสูบเพชรบูรณ์ ที่กำลังประสบความเดือดร้อนจากที่โรงงานไม่รับซื้อผลผลิต และพ่อค้าคนกลางกดราคา ทำให้มียาเส้นค้างสต็อกกว่า 300 ตัน หลังจากที่ปรับภาษีสรรพสามิตมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เบื้อต้นรับปากจะเจรจากับโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ในประเทศให้รับซื้อในราคาที่เป็นธรรม กก.ละไม่ควรต่ำกว่า 90 บาท
        นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ารับฟังความเดือดร้อนและร่วมหารือแนวทางแก้ปัญหากับตัวแทนชาวไร่ยาสูบ กรณีที่มียาเส้นค้างสต็อกจำนวนกว่า 300 ตัน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบและพ่อค้าคนกลางรายย่อย ได้นำเสนอปัญหาว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการขึ้นภาษีสรรพสามิตปลายปีที่แล้ว ทำให้พ่อค้าคนกลางหยุดรับซื้อ ในขณะที่โรงงานก็มียาเส้นค้างสต็อกไม่สามารถรับซื้อได้ ทำให้มียาเส้นค้างสต็อกอยู่กับเกษตรกรกว่า 300,000 กิโลกรัม โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ อยู่ที่อำเภอหล่มเก่า อำเภอหล่มสัก ที่เป็นแหล่งปลูกยาสูบมากที่สุดของจังหวัดเพชรบูรณ์กว่า 4,000 ครัวเรือน ซึ่งราคาที่พ่อค้ารับซื้อปัจจุบัน อยู่ที่ 70 บาทต่อกิโลกรัม จากที่เคยซื้อ 120 บาทต่อกิโลกรัม
       นายนราพัฒน์  กล่าวว่า การมารับฟังความเห็นครั้งนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯได้หารือเบื้องต้นกับกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังมาแล้ว เนื่องจากยาสูบเป็นพืชที่ดูแลโดยกรรมสรรพสามิต ที่มีการวางแผนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว โดยระยะสั้นนั้นได้หารือกับโรงงานใหญ่ ๆ ในประเทศให้ช่วยรับซื้อยาไปสต็อก ในราคาที่เป็นธรรม ส่วนระยะกลางและระยะยาวนั้นจะร่วมกันหาทางออกในการแก้ไขระเบียบกฏกระทรวงเพื่อให้ความเป็นธรรมด้านภาษีต่อไป
      ด้านนายอลงกรณ์ กล่าวว่า การเปลี่ยแปลงในระบบภาษีและประกาศกฏกระทรวงย่อมทำให้เกิดผลกระทบ แต่สิ่งที่เราต้องร่วมกันค้นหาคือเราจะแก้ปัญหาระยะสั้นอย่างไร และการแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างไรให้ยั่งยืน ซึ่งการแก้ปัญหาระยะสั้นนั้นได้ประสานให้กรมสรรพสามิตลงมาดูแลร่วมกัน อีกทั้งยังได้หาวิธีการซื้อโดยไม่ผ่านระบบ และการซื้อผ่านระบบปกติ โดยเจรจากับโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ในประเทศให้รับซื้อในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งไม่ควรต่ำกว่า 90 บาทต่อกิโลกรรม โดยทางโรงงานตอบว่าสามารถซื้อได้เบื้องต้นบางส่วน และได้สั่งการให้เกษตรจังหวัดส่งรายชื่อเกษตรกรพร้อมสต็อกยาเส้นที่แต่ละครัวเรือนมีอยู่ จะได้ไม่ตกหล่นในการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม หากเกินความสามารถรับซื้อจากโรงงาน รัฐบาลก็จะเข้ามาช่วยเหลือเหมือนกับกรณีกุ้งและมะม่วง
       สำหรับแนวทางแก้ปัญหาระยะกลางและยาวนั้น นอกจากการปรับปรุงมาตรการทางด้านภาษีให้เกิดความเป็นธรรมแล้ว พี่น้องเกษตรกรต้องทำความเข้าใจว่ายาเส้นเป็นพืชที่ถูกควบคุม และรัฐจะต้องลดปริมาณการผลิตและลดผู้สูบลงเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาแนวทางปลูกพืชเศรษฐกิจในอนาคต ทดแทน เช่น โกโก้ ซึ่งในตลาดโลกมีความต้องการมาก 
         ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ได้กำชับว่าให้ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างสุดความสามารถ และไม่เกี่ยงว่าพืชนั้นจะสังกัดกระทรวงเกษตรหรือไม่ แต่ให้ถือเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นที่ตัวตั้ง