กรมวิชาการเกษตร เกาะติดสถานการณ์ตั๊กแตนทะเลทราย พร้อมจัดทำทุกมาตรการสยบทัพตั๊กแตนจู่โจมไทย โล่งอกผู้เชี่ยวชาญตั๊กแตน FAO ฟันธงมัจจุราชแห่งทะเลทราบเบรกไม่เข้าไทยแล้ว ชี้ภูมิอากาศไม่เอื้อขยายพันธุ์และการตั้งรกราก เผยถูกจัดอันดับเป็นศัตรูพืชร้ายแรงระดับโลก คร่าพืชผลทางการเกษตรแล้ว 13 ประเทศ ระบุเป็นสุดยอดนักบิน นักกิน และนักขยายพันธุ์รวดเร็วมาก
นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ชี้แจงถึงสถานการณ์การระบาดล่าสุดของตั๊กแตนทะเลทราย ว่า องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือเอฟเอโอ (FAO) ได้รายงานสถานการณ์ปัจจุบันว่า ฝูงตั๊กแตนทะเลทรายจำนวนมากได้แพร่ระบาดเข้าไปในเขตตะวันออกของปากีสถาน ซึ่ง FAO ได้ออกแถลงการณ์ว่า ตั๊กแตนทะเลทรายได้แพร่ขยายพันธุ์ต่อไปตามแนวชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศอิหร่าน แนวชายแดนของปากีสถาน และอินเดีย ขณะนี้พบการระบาดของฝูงตั๊กแตนใน 13 ประเทศ ได้แก่ เคนยา เอธิโอเปีย เอริเทรีย โซมาเลีย ซูดานใต้ อูกันดา จิบูตี เยเมน โอมาน ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน อินเดีย และปากีสถาน ซึ่งการระบาดของฝูงตั๊กแตนเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการขยายพันธุ์ของตั๊กแตน
เสริมสุข สลักเพ็ชร์
นับตั้งแต่ทาง FAO ได้แจ้งข้อมูลการระบาดของตั๊กแตนทะเลทราย ซึ่งจัดเป็นเป็นศัตรูพืชที่มีความร้ายแรงระดับโลก กรมวิชาการเกษตรในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่องค์กรอารักขาพืชแห่งชาติของประเทศไทยได้ประสานงานกับสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงโรมและผู้เชี่ยวชาญด้านตั๊กแตนทะเลทรายของ FAO อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งได้รับคำยืนยันว่าโอกาสที่ตั๊กแตนจะแพร่ระบาดเข้ามาถึงประเทศไทยมีน้อยมาก เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นของประเทศไทยไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและการตั้งรกรากเพื่อขยายพันธุ์ของแมลงชนิดนี้ ซึ่งชอบสภาพอากาศแห้งแล้งแบบทะเลทราย รวมทั้งกระแสลมตะวันออกจะพัดพาตั๊กแตนให้บินไปทิศตะวันตกมากกว่าที่จะมาถึงไทย
นางสวาเสริมสุข กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการเฝ้าระวังแมลงศัตรูพืชชนิดนี้ไม่ให้เข้ามาแพร่ระบาดทำความเสียหายผลผลิตทางการเกษตรของประเทศไทย กรมวิชาการเกษตรได้จัดทำมาตรการเฝ้าระวังและวางแผนที่จะทำการสำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันการเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทยไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยสำรวจแปลงพืชอาหารของตั๊กแตนทะเลทรายที่อยู่ในบริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้านที่มีรายงานการระบาด ตรวจสอบชนิดของตั๊กแตน โดยเปรียบเทียบกับรูปภาพตั๊กแตนทะเลทราย ในกรณีที่พบมีลักษณะใกล้เคียงตามภาพตัวอย่าง บันทึกตำแหน่งพิกัดภูมิศาสตร์จุดที่ให้เก็บตัวตั๊กแตนใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมไว้ และนำส่งที่สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร เพื่อนำมาจำแนกชนิดว่าเป็นตั๊กแตนทะเลทรายหรือไม่
ในกรณีพบในเขตประเทศไทย ให้ทำการป้องกันกำจัดโดยวิธีการที่เหมาะสม เช่น ใช้ตาข่ายหรือสวิงจับตัวตั๊กแตนมาทำลายเพื่อป้องกันไม่ให้ตั๊กแตนผสมพันธุ์และวางไข่ ทำการป้องกันกำจัดโดยใช้สารฆ่าแมลงชนิดใดชนิดหนึ่งได้แก่ ฟิโพรนิล อีโทเฟนพรอกซ์ เดลทาเมทริน แลมป์ดาไซฮาโลทริน หรือพ่นด้วยเชื้อราเขียวเมตาไรเซียม หรือสารชีวภัณฑ์อื่น ๆ เช่น เชื้อโปรโตซัว นอกจากนี้ ยังสามารถนำตั๊กแตนทะเลทรายมาบริโภคได้โดยทอดให้สุกเช่นเดียวกับตั๊กแตนปาทังก้า
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวต่อไปว่า ตั๊กแตนทะเลทราย เป็นตั๊กแตนที่อพยพเป็นกลุ่มใหญ่ เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว สามารถกินพืชได้หลายชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เลย์ อ้อย หญ้าเลี้ยงสัตว์ ฝ้าย ไม้ผล พืชผัก และวัชพืช โดยกินได้ทุกส่วนของพืช และสามารถกินอาหารได้ตลอดอายุไข ตั๊กแตนตัวเต็มวัยสามารถกินอาหารได้ในปริมาณเท่าน้ำหนักตัวต่อวัน (ประมาณ 2 กรัม/ตัว/วัน) หากมีการระบาดจะเกิดความเสียหายรุนแรง รวดเร็ว และเกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง
ตั๊กแตนทะเลทราย มีอายุยาวนานถึง 9 เดือน บินตามกระแสลมด้วยความเร็วประมาณ 19 กิโลเมตร/ชั่วโมง และบินสูงถึง 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล บินได้นาน 10 ชั่วโมงต่อครั้ง สามารถเดินทางได้ประมาณ 130 กิโลเมตร / วัน เพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วช่วงฤดูฝนที่มีพืชอาหารอุดมสมบูรณ์ และสามารถเพิ่มจำนวนได้ถึง 16 เท่าในรุ่นต่อไป ในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรที่มีตั๊กแตนประมาณ 40 ล้านตัว ใน 1 วันสามารถกินอาหารในปริมาณเดียวกับคน 35,000 คน หรือช้าง 6 ตัว