“กัญชา”ปลูกได้แล้ว!! แต่…ต้องเฟ้นหาสายพันธุ์ที่เหมาะกับประเทศไทย(คลิป)

  •  
  •  
  •  
  •  

      ความพยายามในการพลักดันให้มีการปลูกกัญเสรีเพื่อใช้ในวงการแพทย์ ที่สภาเกษตรกรแห่งชาติขับเคลื่อนมาเกือบรวมปีนั้น ในที่สุดทางสภาเกษตรกรฯร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมทั้งตัวแทนจากโรงพยาบาล 4 ภูมิภาค ได้ทำการลงนามบันทึกข้อตกลงหรือเอ็มโอยูกับกรมการแพทย์แผนไทย โดยสภาเกษตรกรแห่งชาติจะปลูกกัญชาแบบเกษตรอินทรีย์ ส่งให้กรมการแพทย์แผนไทย เน้นต้องปลอดภัย จึงเสนอการปลูกกัญชาแบบเกษตรอินทรีย์แบบลงทุนให้ฟรี เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแท้จริง ในนามของวิสาหกิจชุมชนนำร่อง 4 จังหวัดคือ ลำปาง บุรีรัมย์ กาญจนบุรี และสุราษฎร์ธานี ด้วยพื้นที่ 2 X 2 เมตร 400 ต้น/ไร่ จังหวัดละ 5 ไร่ ปลูกทั้งแบบในโรงเรือนและนอกโรงเรือน ภายใต้ “โครงการขับเคลื่อนการปลูกกัญชานำร่องเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์”

        เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2562 กัญชาต้นแรกของประเทศที่ปลูกอย่างถูกต้องในนามวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์เพชรลานนา ต.แม่สุก อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ปลูกต้น “กัญชา” ปฐมฤกษ์ ใน “โครงการขับเคลื่อนการปลูกกัญชานำร่องเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์” กันแล้ว มีผู้ร่วมงานจำนวนมากรวมถึงนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ พร้อมว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ  และมีผู้แทนจาก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง  มหาวิทยาลัยรังสิต​ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่​ เกษตรกร ผู้เกี่ยวข้อง ผู้สนใจ เข้าร่วมงานกว่า 300 คน

           นายไรอั่น  โดแรน (Ryan  Doran)ผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชาจากสหรัฐอเมริกา ในฐานะที่ปรึกษาโครงการขับเคลื่อนการปลูกกัญชานำร่องเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ บอกว่า แม้จะมีการปลูกกัญชาถูกต้องตามกฏหมายไทยได้เริ่มกันแล้ว แต่เนื่องจากเมล็ดพันธุ์กัญชาต้องรับมาจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส.ซึ่งไม่ทราบว่ามีสายพันธุ์อะไรบ้าง เมื่อปลูกชุดแรกไปแล้วต้องคัดดูว่า ต้นไหน ตรงสายพันธุ์อะไร ที่เหมาะที่สุดสำหรับสภาพภูมิอากาศของไทย

           อย่างไรก็ตามทรบว่า กัญชาสายพันธุ์ห่างกระรอก ถือเป็นสายพันธุ์ที่ปรับสภาพและเหมาะที่สุดกับประเทศไทย แต่ต้องมาเทียบดูกันก่อน เพราะเมล็ดที่ให้มายังไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นสายพันธุ์อะไร ส่วนหางกระรอกที่ชัดเจนมีสาร CBD (Cannabidiol  : มีคุณสมบัติลดอาการเจ็บปวด ลดการอักเสบของแผล ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดอาการชักเกร็ง และลดอาการคลื่นไส้) และ สาร THC (Tetrahydrocannabino) : มีคุณสมบัติต่อจิตประสาท ทำให้เกิดความผ่อนคลาย และเคลิบเคลิ้ม หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยลดอาการตึงเครียดได้ ) แน่นอน….ฟังรายละเอียดในคลิป