เสียงสะท้อนจากคนไร่อ้อยอีสาน-เหนือ ในาม สมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่ภาคอีสาน สมาคมชาวไร่อ้อยลำมูลบน นครราชสีมา และเกษตรกรชาวไร่อ้อยพิจิตร ประสานเสียงสะท้อนถึงความจริงที่ได้รับผลกระทบตรงๆ จากการแบน 3 สารเคมีเกษตร “พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส” ทำให้เกษตรกรลำบาก ต้นทุนสูงขึ้น ราคาผลผลิตเท่าเดิม มั่นใจต้องขาดทุนแน่นอน ระบุจ้างแรงงานคนทำได้คนละไม่ถึงครึ่งงานต่อวัน ชี้หากพาราควอตอันตรายจิง ทำน้ำตาลไทยส่งออกไม่ได้ นายกสมาคมนักวิชาการอ้อยฯ แนะทางออก 5 แนวทางให้รัฐบาลดำเนิน “ชะลอมติยกเลิกใช้ 3 สาร- ศึกษาทบทวนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวข้องและผลกระทบทางเศรษฐกิจ- ศึกษาและพิสูจน์สิ่งทดแทน-ให้รัฐบาลปรึกษากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนให้ครบถ้วน-ให้เผยแพร่ผลการศึกษาให้ประชาชนรับทราบ”
เลียบ บุญเชื่อง
นายเลียบ บุญเชื่อง ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน เปิดเผยว่า การแบน 3 สารเคมีเกษตรส่งผลกระทบรุนแรงในอุตสาหกรรมอ้อยทั้งระบบ ต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งน้ำตาล เอทานอล และโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยเฉพาะ พาราควอต ช่วยให้เกษตรกรทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด ลดต้นทุนการผลิต เพราะราคาพืชไร่หลายชนิดมีราคาตกต่ำ การลดต้นทุนจะช่วยให้เกษตรกรมีผลกำไรบ้าง หากต้องมาเพิ่มต้นทุน เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระ ทำให้กำไรที่น้อยอยู่แล้วยิ่งลดลง อาจถึงขั้นขาดทุนได้ ส่วนการใช้แรงงานคนมา ถอนหญ้า หรือ ดายหญ้า นั้น ด้วยประสบการณ์ 1 คนในเวลา 1 วัน สามารถดายหญ้าได้ไม่ถึงครึ่งงาน ยิ่งในช่วงหน้าฝน ฝนตกชุก หญ้าขึ้นหนาแน่น ยิ่งทำงานยาก
ดังนั้น การปลูกพืชเป็นหลายร้อยไร่ ระดับอุตสาหกรรม การใช้แรงงานคน จึงไม่มีทางเป็นไปได้ นอกจากนี้ นโยบายรวมแปลงที่รัฐเสนอเป็นสิ่งที่ยากสำหรับต่างจังหวัด หากเป็นแปลงเกษตรของนายทุนรายใหญ่ขนาด 1,000 ไร่นั้นทำได้ เพราะเป็นการดำเนินงานระดับองค์กร แต่หากจะให้เอาแปลงเกษตรกร นาย ก นาย ข มารวมกัน คงเป็นเรื่องยาก ที่ดินของใครก็คงไม่มีใครยอม จึงอยากให้ภาครัฐพิจารณาและศึกษาให้ถ่องแท้ในการออกมาตรการ
สมบัติ ศรีจันทร์
ด้านนายสมบัติ ศรีจันทร์ เลขาธิการสมาคมชาวไร่อ้อยลำมูลบน จังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การตัดสินใจยกเลิกใช้สารทั้ง 3 ชนิด ภาครัฐมีควรมีมาตรการที่ชัดเจนและแผนการดำเนินงานรองรับที่เหมาะสมก่อน ปัจจุบัน ยังไม่รู้ว่าจะมีสารใดมาทดแทนให้เกษตรกร โดยเฉพาะ พาราควอต เป็นปัจจัยการผลิตที่ดีที่สุดในการกำจัดวัชพืช ที่มีต้นทุนต่ำที่สุด และมั่นใจว่าไม่มีสารตกค้าง เพราะอ้อยของไทยยังสามารถส่งออกไปขายในต่างประเทศไทยมาโดยตลอด เพราะใช้มานานกว่า 30 ปีแล้ว การประโคมข่าวต่าง ๆ อาทิ แผ่นดินอาบสารพิษ ส่งผลกระทบต่อการส่งออก
ส่วนนโยบายการส่งเสริมพื้นที่เกษตรอินทรีย์ โดยไม่ใช่สารเคมีทั้งระบบ ไม่มีปุ๋ยเคมี ไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดโรค แมลง วัชพืช ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน รัฐบาลและผู้บริโภคพร้อมหรือยังที่จะปรับตัวในการซื้อสินค้าเกษตรในราคาที่แพงขึ้นอีกหลายเท่า ปัจจุบัน ทุกคนยังบ่นเรื่องค่าครองชีพที่สูง ร้องขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่เลย ท้ายที่สุด หากไม่ให้ใช้ พาราควอต จะให้ใช้สารอะไรแทนในต้นทุนที่เท่ากัน มีคุณภาพที่ดี และต้องตรวจสอบชัดเจนได้ว่าไม่มีพิษ ไม่มีการตกค้างทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนการใช้เครื่องจักร พื้นที่ของประเทศไทยมีความหลากหลาย บางพื้นที่ไม่สามารถใช้งานได้ เช่น พื้นที่เนิน พื้นที่บนเขา พื้นที่ราบลุ่ม น้ำขัง รวมทั้งพืชบางชนิดไม่สามารถใช้เครื่องจักรได้ เพราะจะทำลายพืชประธานหรือพืชที่ต้องการจะปลูก
“ผลผลิตอ้อยปกติ 1 ไร่ จะได้ 10-12 ตัน แต่หากดูแลไม่ดีปล่อยให้วัชพืชขึ้น ผลผลิตจะเหลือไร่ละ 1-2 ตัน หายไปกว่า 80% ขาดทุน 100% เพราะค่าจ้างตัดอ้อยยังไม่คุ้มค่าเพาะปลูกเลย”
วิทยา มาลา
ส่วนนายวิทยา มาลา เกษตรกรขาวไร่อ้อย จังหวัดพิจิตร กล่าวถึงผลกระทบจากปัญหาวัชพืชที่เคยได้รับว่า บางรายต้องเลิกทำไร่อ้อยไปเลย เพราะขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินหมุนเวียน ยิ่งหากไม่มี พาราควอต เกษตรกรไร่อ้อยลำบากแน่ การแนะนำสารเคมีเกษตรชนิดอื่นมาให้แต่ราคาแพงกว่าหลายเท่า ราคาแกลลอนละ 4,500 บาท ขณะที่ พาราควอต ปัจจุบัน ราคา 550-600 บาท ส่งผลภาระด้านต้นทุนปลูกสูงขึ้น แต่ราคารับซื้ออ้อยไม่สามารถเพิ่มได้
เขา ระบุว่า ปัจจุบัน อ้อยราคารับซื้ออยู่ที่ตันละ 780 บาท ชาวไร่อ้อยยังไม่รู้เลยจะทำอย่างไรต่อไปหากไม่มีพาราควอต แม้ว่ารัฐจะบอกว่าจะจ่ายค่าชดเชยส่วนต่างให้ แต่รัฐจะเอาเงินมาจากไหน ก็เอามาจากภาษีประชาชนเหมือนเดิม ส่วนการจะให้หันมาทำไร่อ้อยเกษตรอินทรีย์ทั้งประเทศนั้น ไทยคงจะส่งออกต่างประเทศไม่ได้แล้ว เพราะต้นทุนจะสูงมาก แข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ ซึ่งต่างประเทศยังใช้สารเคมีเกษตรกันอยู่ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำและแข่งขันได้สูง อยากให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐลงพื้นที่มาสัมผัสชีวิตชาวไร่อ้อยจริง ๆ ว่าเดือดร้อนขนาดไหน การที่รัฐจะแบนสารเคมีเกษตรทั้งสามชนิด อยากให้ภาครัฐกลับไปทบทวนอีกครั้ง
กิตติ ชุณหวงศ์
ขณะที่ ดร. กิตติ ชุณหวงศ์ นายกสมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การยกเลิกสารเคมีเกษตร 3 ชนิด สมาคมฯ ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร แต่รวมถึงโรงงานน้ำตาล ผู้ส่งออก ผู้ค้าน้ำตาล อุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ อุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมพลังงานด้วย ปัจจุบัน อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของ GDP ภาคเกษตรและ ร้อยละ 48 ของ GDP อุตสาหกรรมอาหาร ส่งออกไปต่างประเทศเป็นลำดับ 3 รองจากยางพาราและข้าว มีเกษตรกรอยู่ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล จำนวน 470,000 ครัวเรือน หรือ ประมาณ 1.2 ล้านคน มีโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 57 โรงงาน
ฉะนั้นจึงได้เสนอทางออกไปยังรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเป็นการเร่งด่วนใน 5 แนวทาง ได้แก่ 1) ชะลอผลของมติยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรทั้งสามชนิดออกไป 3-5ปี 2) ศึกษาทบทวนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวข้องและผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการยกเลิกอย่างรอบคอบ 3) ศึกษาและพิสูจน์สิ่งทดแทนทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ชัดเจนและอบรมเกษตรกรอย่างทั่วถึง 4) ขอให้รัฐบาลปรึกษากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนให้ครบถ้วน และ 5) ขอให้รัฐบาลเผยแพร่ผลการศึกษาและปรึกษาให้ประชาชนรับทราบโดยละเอียดด้วย