“กฤษฎา” ชี้แจง 8 ขั้นตอนการปฏิบัติงานตามโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา 2561 ดีเดย์พฤศจิกายนนี้ หวังยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างมั่นคง เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน โดยไม่ทิ้งผู้ใดไว้ข้างหลัง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังประชุมเตรียมการและกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการสานพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ริเริ่มปฏิรูปการบริหารจัดการภาคการเกษตรของไทย ด้วยการวางแผนการผลิตทางการเกษตรของประเทศ เพื่อสนองนโยบายการตลาดนำการผลิตของรัฐบาล โดยเริ่มจากการจัดทำโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูการทำนา 2561 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป ซึ่งโครงการดังกล่าว มีหลักการดำเนินการ คือ
1) เกษตรกรต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับราคาและเงื่อนไขการรับซื้อผลผลิต รวมทั้งปริมาณความต้องการผลผลิตของตลาดก่อนตัดสินใจลงมือทำการเพาะปลูก 2) รัฐบาลจะต้องมีมาตรการลดความเสี่ยงในการประกอบอาชีพของเกษตรกร เช่น การหาตลาดหรือผู้รับซื้อสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วยราคาที่เป็นธรรม การประกันรายได้ขั้นต่ำของเกษตรกรหรือการรับรองราคารับซื้อผลผลิตของภาคเอกชน การทำประกันภัยพืชผล และการสนับสนุนความรู้และเงินทุนหรือปัจจัยในการผลิตแก่เกษตรกร เป็นต้น และ 3) มาตรการจูงใจเกษตรกร จำนวน 4 มาตรการ เพื่อลดความเสี่ยงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประกอบด้วย
3.1 การสนับสนุนสินเชื่อเป็นค่าปัจจัยการผลิตและการเตรียมดินผ่าน ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี ของวงเงินไร่ละ 2,000 บาท (ไม่เกิน 15 ไร่ต่อราย) 3.2 การประสานภาคเอกชนให้มารับซื้อข้าวโพดอาหารสัตว์ตามคุณภาพในราคาไม่น้อยกว่าราคาขั้นต่ำที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด 3.3 การสนับสนุนเบี้ยประกันภัย 65 บาทต่อไร่ เมื่อได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติจะได้รับชดเชยไร่ละ 1,500 บาท และ 3.4 การกำหนดนโยบายให้สินเชื่อสถาบันเกษตรกร เพื่อเสริมสภาพคล่องในการรวบรวมและรับซื้อผลผลิตข้าวโพดผ่าน ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี
การขับเคลื่อนโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูการทำนา 2561 จะมีการบูรณาการร่วมกันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับอำเภอ/พื้นที่ โดยกำหนดให้มีคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการระดับอำเภอ ประกอบด้วย นายอำเภอเป็นประธาน/พัฒนาการอำเภอ/ผู้แทนหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ดำเนินการระดับอำเภอทุกหน่วย/เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ประจำพื้นที่/ประธาน ศพก.ประจำพื้นที่/เกษตรอำเภอทำหน้าที่เลขานุการคณะทำงานอำเภอ ระดับจังหวัด โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการเร่งรัดการดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาในระดับจังหวัด ให้ใช้องค์ประกอบของ อ.พ.ก. เป็นคณะกรรมการ แต่มอบหมายให้เกษตรจังหวัดเป็นผู้นำเสนอข้อมูลรายละเอียด/รายงานความก้าวหน้า/ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะให้ที่ประชุมระดับจังหวัดพิจารณาในฐานะผู้จัดการโครงการระดับจังหวัด และระดับกระทรวง โดยกระทรวงเกษตรฯ กำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรฯ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ที่ได้รับมอบหมาย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรฯ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมปศุสัตว์ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกรมส่งเสริมการเกษตร
สำหรับขั้นตอนการดำเนินงาน ได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ 1) ให้คณะทำงานระดับอำเภอประชุมชี้แจงทำความเข้าใจและเชิญชวนเกษตรกร/ชาวนาในพื้นที่ ให้ปรับเปลี่ยนจากการทำนาปรังมาปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ตามความเหมาะสมของคุณภาพดิน (Zoning by Agri-Map) ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน โดยให้เกษตรอำเภอนำเรื่องการเชิญชวนปลูกพืชอื่น ๆ แทนการทำนาปรัง เข้าประชุมชี้แจงที่ประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ภายในเดือนตุลาคม 2561
2) ให้ชี้แจงเกษตรกรในพื้นที่ทราบด้วยว่าเกษตรกร/ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้สิทธิในการกู้เงินจาก ธ.ก.ส. มาเป็นเงินทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในอัตราร้อยละ 0.01 มีสิทธิกู้ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ และรัฐบาลทำประกันภัยพืชผลเพื่อลดความเสี่ยงด้านภัยพิบัติเพิ่มเติมจากเงินชดเชย สาธารณภัยตามระเบียบกระทรวงการคลัง อีกไร่ละ 1,500 บาท โดยรัฐบาลออกค่าเบี้ยประกันให้ไร่ละ 65 บาท 3) ให้คณะทำงานอำเภอประสานเกษตรจังหวัด จัดเจ้าหน้าที่และตัวแทนภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการส่งคณะวิทยากรจัดการอบรมให้ความรู้ในการปลูกข้าวโพด การลดต้นทุน และการรักษาแปลงให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
4) มอบหมายสหกรณ์จังหวัดประสานคณะทำงานอำเภอ เพื่อเชิญชวนและรวมกลุ่มสหกรณ์การเกษตรที่อยู่ในพื้นที่เข้าร่วมโครงการฯ ในครั้งนี้ โดยให้สหกรณ์การเกษตรหรือวิสาหกิจชุมชนชนทำหน้าที่รวบรวมเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิก เข้าร่วมโครงการในลักษณะเกษตรแปลงใหญ่ ซึ่งสหกรณ์การเกษตรจะได้รับสิทธิเงินกู้จาก ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 0.01 ในนามกลุ่มจาก ธ.ก.ส. ด้วย รวมถึงการส่งเสริมให้สหกรณ์ทำหน้าที่การบริหารจัดการผลผลิต โดยการจัดหาเมล็ดพันธุ์ ให้แก่สมาชิก ซึ่งการบริหารจัดการเครื่องมือให้ประสานเอกชนในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะปลูก การดูแลแปลงและการจัดหาตลาดเพื่อรองรับผลผลิต ตลอดจนการรับซื้อผลผลิตจากสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิกู้เงิน จาก ธ.ก.ส. เพื่อการรวบรวมในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 1
[adrotate banner=”3″]
5) คณะทำงานระดับจังหวัด อำนวยการในการประสานเอกชนในการรับซื้อผลผลิต โดยเฉพาะเอกชนรายย่อยในพื้นที่ มีการกำหนดจุดรับซื้อในระดับพื้นที่ การกำหนดราคาที่เป็นธรรมให้แก่เกษตรกร การบริหารการขับเคลื่อนโครงการ และการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
6) คณะกรรมการอำนวยการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ระดับกระทรวง) ประสานงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน เพื่อเข้าไปทำสัญญารับซื้อข้าวโพดล่วงหน้ากับเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรอย่างเป็นธรรม ตามกฎหมายส่งเสริมและพัฒนาเกษตรพันธสัญญาอย่างเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ จะต้องระบุข้อตกลงในรายละเอียดการทำสัญญารับซื้อให้ชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ คือ ราคารับซื้อ จุดรับซื้อ จำนวนและคุณภาพข้าวโพดที่จะรับซื้อ รวมทั้งเงื่อนไขต่าง ๆ ฯลฯ โดยให้แบ่งพื้นที่ออกเป็นภาค/กลุ่มจังหวัด ให้เอกชนแต่ละรายเข้าไปทำสัญญารับซื้อ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า กระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้ให้เอกชนรายใดรายหนึ่งมาผูกขาดหรือเอาเปรียบเกษตรกรแต่อย่างใด และประการสำคัญหากภายในเดือนตุลาคม 2561 นี้ พื้นที่ใดยังไม่มีภาคเอกชนเข้าไปทำสัญญารับซื้อข้าวโพดตามหลักการที่ได้กำหนดไว้แล้ว ให้ยกเลิกโครงการในพื้นที่นั้น ๆ เพราะกระทรวงเกษตรฯ ไม่มีนโยบายให้เกษตรกรทำการเกษตรหรือประกอบอาชีพแบบสุ่มเสี่ยงอีกต่อไป ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ ทั้งในระดับกระทรวงและระดับกรม ทำหน้าที่กำกับและติดตามการปฏิบัติงานตามโครงการของหน่วยงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้ตั้งกองอำนวยการเฉพาะกิจขึ้นที่สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อติดตามเร่งรัดโครงการด้วย
7) มอบหมายให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัด ในฐานะเลขานุการ อ.พ.ก.จังหวัด ประสานกับเกษตรจังหวัด เพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาของแต่ละจังหวัดไว้ด้วย โดยแผนดังกล่าวให้ประกอบด้วยสาระสำคัญตั้งแต่การประชุมชี้แจงโครงการ/การทำงานแต่ละขั้นตอน/การประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ตลอดจนการจำหน่ายผลผลิต โดยให้กำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน
และ 8) มอบหมายเกษตรจังหวัดพร้อมทั้งเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อชี้แจงความเป็นมาและรายละเอียดโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ปี 2561 พร้อมทั้งให้นำรายละเอียดโครงการชี้แจงในที่ประชุมกรรมการจังหวัด หรือที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดในเดือน ตุลาคม 2561 รวมทั้งมอบหมายให้เกษตรอำเภอดำเนินการเช่นเดียวกับระดับอำเภอด้วย และชี้แจงในการประชุมกำนัน/ผู้ใหญ่บ้านประจำเดือนตุลาคม 2561 ด้วย
“ ขั้นตอนการปฏิบัติงานดังกล่าว ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถปรับแก้ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา/พื้นที่และปัจจัยแวดล้อมได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักการของโครงการอย่างเคร่งครัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปการบริหารจัดการภาคเกษตรของไทยในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างมั่นคง เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่งคั่งและยั่งยืนตลอดไป โดยไม่ทิ้งผู้ใดไว้ข้างหลัง” นายกฤษฎา กล่าว