กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา ปี 2560/61 นำร่องพื้นที่ 2 จังหวัด “อุตรดิตถ์-พิษณุโลก” 5,800 ไร่ พร้อมประกันราคารับซื้อ 5 บาท/กก. ชี้รัฐให้ความช่วยเหลือ 4 เรื่อง ” สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ- ติดต่อผู้มารับซื้อ- ราคาขายที่เป็นธรรม สมเหตุสมผล – การประกันภัยพืชผล” มั่นใจสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกร
กฤษฎา บุญราช ทดลองขับแทรกเตอร์ในพื้นที่นำร่องที่ จ.อุตรดิตถ์
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการขับเคลื่อนการส่งเสริมการปลูกพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร และลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ว่า โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา ปี 2560/61 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้สมาชิกสหกรณ์ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูการทำนาเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้มีรายได้ที่มั่นคง จากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สลับกับการทำนา
[adrotate banner=”3″]
ทั้งนี้กระทรวงเกษตตรฯ ได้ยมอบหมายกรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งดำเนินการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา ปี 2560/61 ในพื้นที่นำร่อง 2 จังหวัด รวม 5,800 ไร่ คือ จังหวัดอุตรดิตถ์ 3,000 ไร่ และจังหวัดพิษณุโลก 2,800 ไร่ โดยรัฐจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือใน 4 เรื่อง คือ 1. สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 2. ติดต่อผู้มารับซื้อ 3. ราคาขายที่เป็นธรรม สมเหตุสมผล และ 4. การประกันภัยพืชผล และในส่วนกระทรวงเกษตรฯ จะสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้สมาชิกนำไปลงทุน รายละไม่เกิน 3,000 บาท/ไร่ โดยเป็นเงินก้อนให้สหกรณ์กู้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี รวมทั้งจะมีเจ้าหน้าที่เกษตรตำบล เกษตรอำเภอเข้ามาช่วยเหลือ ให้คำแนะนำในการเพาะปลูก และกรมชลประทานจะเข้ามาดูแลเรื่องระบบน้ำ
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า อำเภอบ้านหม้อ จ.อุตรดิตถ์ เป็นจุดนำร่องของโครงการที่ใช้กลไกสหกรณ์เข้ามาขับเคลื่อนตั้งแต่การเพาะปลูก การไถ การพรวนดิน การเก็บเกี่ยว หากสมาชิกไม่มีเครื่องมือ เครื่องจักร สหกรณ์จะช่วยจัดหาผู้รับจ้างมาทำรวมๆ กัน เพื่อลดต้นทุน เมื่อผลผลิตออกแล้วสหกรณ์จะรับซื้อจากสมาชิก และกระทรวงเกษตรฯ จะหาผู้รับซื้อจากสหกรณ์อีกทอดหนึ่ง เบื้องต้นได้ติดต่อผู้รับซื้อคือบริษัทเบทาโก และบริษัทซีพีเอฟ ในราคากิโลกรัมละ 5 บาท ซึ่งพื้นที่การเพาะปลูก 5,000 ไร่ จะได้ข้าวโพดประมาณ 7,500 ตัน คาดว่าเกษตรกรจะมีรายได้ 7,500 บาท/ไร่ โดยหักต้นทุนแล้วจะเหลือกำไร 4,000 บาท/ไร่ มากกว่าการปลูกข้าวที่ได้เพียง 2,000 บาท/ไร่ และขอฝากถึงสหกรณ์ว่าต้องทำเพื่อสมาชิก ปรับบทบาทจากให้เงินกู้อย่างเดียวมาเป็นการรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรของสมาชิก ซึ่งต้องดูแลตั้งแต่การผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ การหาช่องทางการตลาดและเข้ามาเป็นตัวกลางในการดูแลผลประโยชน์ให้สมาชิก สามารถเจรจากับภาคเอกชนในการต่อรองซื้อขายสินค้า โดยสหกรณ์ควรยึดหลักแนวคิดที่สำคัญ คือ การดูแลเกษตรกรทั้ง 7 ล้านครอบครัวของเรา ให้ลืมตาอ้าปากให้ได้ โดยมีรายได้ที่มั่นคง และยั่งยืน
นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวเป็นการปลูกพืชชนิดอื่นๆ ที่ตลาดต้องการและให้ผลตอบแทนสูง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำ ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชทางเลือกที่ใช้น้ำน้อย มีแนวโน้มตลาดมีความต้องการสูง กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว โดยมีแผนการเตรียมพื้นที่นำร่องเพื่อให้เกษตรกรทดลองเปลี่ยนการทำนามาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สหกรณ์ ดำเนินการในพื้นที่สหกรณ์จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ โดยสหกรณ์ได้ทำการคัดเลือกเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ตรวจสอบคุณสมบัติและข้อมูลสภาพพื้นที่การเพาะปลูกที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงภัยจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทำการเกษตร การจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรสมาชิก เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การคัดเลือกพันธุ์เพาะปลูกให้เหมาะกับสภาพพื้นที่และรอบการผลิต การตรวจติดตามแปลง การตรวจติดตามคุณภาพ และการบริหารจัดการตลาดโดยสหกรณ์เป็นจุดรวบรวมรับซื้อผลผลิตจากสมาชิก ซึ่งหากได้ผลดีเกษตรกรมีรายได้สูงกว่าการทำนา จะมีการส่งเสริมและขยายผลไปสู่พื้นที่การเพาะปลูกพืชหลังนาเพิ่มขึ้นอีก