“ประพัฒน์”จี้รัฐอีกปลดล๊อคกัญชา”รักษาโรค” หวั่น”กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”

  •  
  •  
  •  
  •  

“ประพัฒน์” กระทุ้งรัฐบาลทหารอีกระรอกให้ศึกษาวิจัยกัญชาเพื่อรักษาโรค ก่อนเข้าตำรา “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” ระบุหลายประเทศยืนยันสามารถที่จะเยียวยาผู้ป่วยได้กว่า 100 โรค แต่ไทยกลับเสียโอกาส ล่าสุดรัฐบาล สปป.ลาว ยืนยันภายใน 3 เดือนจะแก้กฎหมายให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาได้ และพร้อมประกาศให้เป็นศูนย์กลางรักษาโรคด้วยกัญชาของเอเชีย ชี้อนาคตคนไทยแห่ข้ามโขงไปรักษาโรคที่ลาว

            จากข้อเสนอของสภาเกษตรกรแห่งชาติในการที่จะให้ภาครัฐนำกัญชามาทำการศึกษาวิจัย เพื่อใช้สารสกัดรักษาโรค หวังลดค่าใช้จ่ายผู้ป่วยและสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจฐานราก โดยให้คัดเกษตรกรที่มีคุณภาพปลูกกัญชาในพื้นที่ควบคุมนั้น

            ล่าสุดนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นำกัญชามาใช้ทดลองวิจัยรักษาโรคในคนได้ ต้องขอบคุณรัฐบาลที่พยายามผลักดันเรื่องนี้  ทั้งนี้ การผลักดันปลดล็อคให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรเพื่อใช้รักษาโรคนับจากวันแรกที่เข้าพบอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ใช้เวลา 2 เกือบ 3 ปี กว่าเรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณา ครม.ได้

อย่างไรก็ตามก็ยังต้องเชื่อว่าจากนี้ไปอีก 2-3 ปี ชาวบ้านถึงจะได้อานิสงส์ใช้กัญชารักษาโรคได้ นับเป็นการใช้เวลาเดินทางยาวนานมากอย่างน่าเสียดายที่ประเทศไทยเสียโอกาสไปมากขนาดนี้ กระนั้นเรื่องกัญชารักษาโรคหลายประเทศทั่วโลกได้แก้กฎหมายจนสามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกขายมาหลายปีแล้ว และมีเอกสารการวิจัยของสถาบันใหญ่ๆทั้งในอเมริกา แคนาดา อิสราเอล วิจัยจนได้รู้ถึงสูตรเคมี สรรพคุณ สารออกฤทธิ์ พร้อมยืนยันได้ว่าสามารถที่จะเยียวยาผู้ป่วยได้ถึง 100 กว่าโรค ก็น่าเสียดายหากประเทศไทยจะเริ่มต้นศึกษา หากนำเอกสารการวิจัยที่มีอยู่ทั้งโลกเพื่อที่จะเอามาดัดแปลงใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องเริ่มต้นวิจัยใหม่จะสามารถสร้างคุณค่าได้อย่างรวดเร็ว

“ที่ผ่านมายังไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ไทยคนไหนวิจัยจริงจังเลย เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายมาตลอดหลายสิบปี น่าที่จะเอาความรู้จากทั่วโลกมาเริ่มต้นแล้วต่อยอด เพราะมีหลายผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายแล้วและทั้งหมดจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยหากจะเดินวัดรอยเท้าก็ไม่ทันการณ์  เราควรต้องศึกษาแล้วดัดแปลงเพื่อป้องกันปัญหาจากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีทางออกเพื่อให้ผู้ป่วยได้รักษาและสามารถผลิตยาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่ถูกกฎหมายลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาฟ้องร้องทีหลัง” นายประพัฒน์ กล่าว

[adrotate banner=”3″]

ประธานสภาเกษตรกรฯ กล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆนี้คณะทำงานของสภาเกษตรกรฯได้เดินทางเข้าพบกับตัวแทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)  ทางรัฐบาล สปป.ลาว ยินดีและอนุญาตให้นำเครื่องสกัดน้ำมันเพื่อเริ่มใช้รักษาผู้ป่วย และจะมีการจัดแปลงปลูกกัญชาเพื่อนำใบ , ยอดมาตากแห้งแล้วสกัดเป็นยา พร้อมยืนยันภายใน 3 เดือนจะแก้กฎหมายให้เสร็จซึ่งรัฐบาลประเทศลาวเริ่มดำเนินการและจะประกาศให้เป็นศูนย์กลางรักษาโรคด้วยกัญชาของเอเชีย ถือว่า สปป.ลาวขยับตัวเร็วและเปิดช่องทางเร็วมาก

“ผมว่าประเทศไทยเรา เข้าตำรา “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”  อาจต้องอพยพผู้ป่วยและญาติพี่น้องที่ต้องการเยียวยาด้วยสารสกัดจากกัญชาไปรักษาที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว  หากทุกรัฐบาลสนใจภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนเรื่องกัญชารักษาโรคมาช้านานเข้าไปร่วมคิดเชื่อว่าเป็นทางลัดให้รัฐบาลเดินเร็วได้มากขึ้นแต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้รับความสนใจเลย แต่ก็ต้องขอขอบคุณที่ถึงแม้ว่าจะเดินช้าแต่ก็ยังเดินอยู่” ประธานสภาเกษตรกรฯ กล่าว

กระนั้นนายประพัฒน์ ก็ยังคาดหวังว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะเข้าใจและเร่งรัดให้เร็วขึ้น  ไม่อย่างนั้นคิดว่าในระยะอันใกล้นี้ถ้าคนไทยกับผู้ป่วยทั้งโลกอพยพไปรักษาอยู่ที่ประเทศลาว เศรษฐกิจฝั่ง สปป.ลาวจะดีขึ้นมาก ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งมีความรู้เรื่องนี้อยู่เยอะเยอะแต่กำลังจะเสียโอกาส จึงขอฝากว่า เงินที่คิดว่าจะมาแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรเศรษฐกิจฐานรากอย่างเคยฝันกันไว้ก็จะถูกปิดกั้นอีกต่อไป