ความลึกลับของข้าวสาลีจีเอ็มโอ ที่แคนาดา

  •  
  •  
  •  
  •  

โดย…ดร.นิพนธ์  เอี่ยมสุภาษิต

ในฤดูร้อนของปี 2560 ได้มีการใช้สารไกลโฟเสท เพื่อกำจัดวัชพืชที่ขึ้นตามถนนที่เป็นท่อส่งน้ำมันและก๊าซ สิ่งที่พบหลังการใช้ คือต้นข้าวสาลีที่ขึ้นปะปนอยู่ด้วยไม่ตาย จึงได้มีการรายงานต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ

รัฐบาลแห่งรัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) ของประเทศแคนาดา ได้ทำการตรวจสอบต้นข้าวสาลีดังกล่าว และพบว่าเป็นต้นข้าวสาลีที่ดัดแปลงพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอ ได้เคยมีการทดสอบภาคสนามข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมมาแล้ว แต่ไม่ใช่ใน 2 – 3 ปีที่ผ่านมาและยังไม่มีใครขออนุญาตหรือได้รับอนุญาตให้เพาะปลูก หรือขายพันธุ์ข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมในประเทศแคนาดา หรือสหรัฐอเมริกา

รายละเอียดของการสืบสวนโดยหน่วยงานที่เรียกว่า หน่วยงานตรวจสอบด้านอาหารของแคนาดา (Canadian Food Inspection Agency – CFIA) ได้เปิดเผยความจริงที่น่าแปลกใจ นั่นคือ ข้าวสาลีที่พบในรัฐแอลเบอร์ตา มียีนที่ทนทานสารเคมีกำจัดวัชพืช ที่มีอยู่ในข้าวสาลีพันธุ์ MON71200 ที่เคยทำการทดสอบภาคสนามโดยบริษัทมอนซานโต้ ปัจจุบันคือบริษัทไบเออร์ ในระหว่างปี 2541 – 2543 แต่แปลงที่ทดสอบอยู่ห่างจากต้นข้าวสาลีที่ตรวจพบประมาณ 290 กิโลเมตร

สิ่งที่สร้างความงุนงงให้กับผู้สืบสวนมากที่สุดคือ พันธุกรรมของต้นข้าวสาลีที่พบไม่เพียงแต่ ไม่เหมือนกับพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวสาลีที่มีการขึ้นทะเบียนไว้แล้ว 450 พันธุ์ แต่ยังไม่เหมือนกับพันธุกรรมของต้นข้าวสาลีจากทุกที่ที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้

ดังนั้นจากคำถามที่ว่า ต้นข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมที่ถูกพบนั้น จะหลุดลอดจากแปลงทดสอบภาคสนามและมีชีวิตอยู่รอดเกือบ2ทศวรรต ได้หรือไม่ ซึ่งจากการสืบสวนดังกล่าวพบว่าเป็นไปไม่ได้

แปลงทดสอบภาคสนามข้าวสาลีพันธุ์ MON71200 ที่มียีนที่ต้านทานสารกำจัดวัชพืช ได้หยุดการทดสอบไปตั้งแต่ปี 2543 เนื่องจากบริษัทมีพันธุ์ใหม่ที่มียีนที่ทนทานสารกำจัดวัชพืชที่มีประสิทธิภาพมากกว่า นั่นก็หมายความว่า ยีนที่ทนทานสารกำจัดวัชพืชที่พบในปี 2560 อาจจะเก็บไว้ในที่ใดที่หนึ่ง หรือ ถูกขยายพันธุ์ในป่าเป็นเวลา17 ปี ก่อนถูกค้นพบอยู่ข้างถนนในรัฐแอลเบอร์ต้า แต่แปลงทดสอบภาคสนามอยู่ไกลจากจุดที่ตรวจพบ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการหลุดรอดของข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ข้อแรกของทฤษฎีการปนเปื้อนโดยไม่ตั้งใจ

[adrotate banner=”3″]

ช่วงฤดูหนาวของรัฐแอลเบอร์ต้าจะหนาวเย็นมากซึ่งเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลียากที่จะมีชีวิตอยู่รอดจนสามารถแพร่กระจาย และถ้าข้าวสาลีสามารถขยายพันธุ์ได้ในสภาพพื้นที่ป่าตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ก็ควรที่จะต้องพบต้นข้าวสาลีดังกล่าวในหลาย ๆ ตัวอย่างจากพื้นที่ปลูกข้าวสาลีของแคนาดา แต่จากการตรวจสอบมากกว่า 170,000 ตัวอย่าง เป็นเวลาหลายปี ไม่พบซักตัวอย่างเดียวที่มียีนที่ต้านทานสารกำจัดวัชพืชจาก MON72100

แม้ว่าถ้ายีนที่ทนทานสารกำจัดวัชพืชได้มาจากแปลงทดสอบภาคสนามจริง ก็ยังมีคำถามว่า ยีนนั้นเข้าไปอยู่ในข้าวสาลีพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีอยู่ในประเทศแคนาดาได้อย่างไร นั่นเป็นการตอบโจทย์ข้อที่สองของทฤษฎีการปนเปื้อนโดยไม่ตั้งใจ

เกษตรกรจากรัฐแอลเบอร์ตาที่ไม่ได้ทำแปลงทดสอบภาคสนามข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรม เมื่อตรวจสอบแปลงเพาะปลูก เครื่องมือ และอาคาร ก็ไม่พบยีนที่ทนทานสารกำจัดวัชพืช

นอกจากนี้ต้นข้าวสาลีที่พบยังไม่ใช่ข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมที่ใช้ทดสอบภาคสนามในสหรัฐอเมริกา จึงเป็นไปไม่ได้ว่าต้นข้าวสาลีที่พบในแคนาดาจะหลุดลอดออกมาจากแปลงทดสอบภาคสนามใด ๆ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ข้อที่สามของทฤษฎีการปนเปื้อนโดยไม่ตั้งใจ

จึงนำกลับมาสู่คำถามพื้น ๆ ใหม่ว่า ข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมไม่กี่ต้น ที่ไม่รู้ที่มา มาอยู่ข้างถนนทางตอนใต้ของรัฐแอลเบอร์ตาได้อย่างไร

มีคำถามที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในปี 2556 เมื่อเกษตรกรจากรัฐโอเรกอน ได้พบกลุ่มต้นข้าวสาลี แม้ว่าจะปลูกเป็นแถว ที่เป็นข้าวสาลีที่ทนทานสารกำจัดวัชพืช ที่มียีนที่ทนทานจากแปลงทดสอบภาคสนามของมอนซานโต้ แต่เกษตรกรดังกล่าวไม่เคยทำแปลงทดสอบภาคสนามในสหรัฐอเมริกา และการทดสอบภาคสนามได้หยุดการทดสอบไปแล้วตั้งแต่ปี 2548ก่อนการค้นพบยีนดังกล่าวใน8 ปีต่อมา

คล้ายคลึงกับประสบการณ์ในแคนาดาที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมที่พบจะแตกต่างจากพันธุ์ที่ปลูกอยู่ในรัฐโอเรกอน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมที่พบในแปลงเกษตรกรของรัฐโอเรกอนยังเป็นข้าวสาลีประเภท winter wheat ซึ่งแตกต่างจากข้าวสาลีประเภท white spring wheat ที่ทำแปลงทดสอบภาคสนาม และการสืบสวนของมอนซานโต้ พบว่าในทุกกรณี ไม่มีการทดสอบว่ามี winter wheat อยู่ในบริเวณนั้นหรือไม่

 ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ข้าวสาลีทั้ง 2 ประเภทนั้นจะออกดอกไม่พร้อมกัน และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการถ่ายละอองเกสรโดยลม ซึ่งความลึกลับนี้ยังไม่มีการพิสูจน์

จากการตรวจสอบทั้ง2 กรณีนี้ ได้ตรวจสอบเครื่องจักรกล ต้นข้าวสาลีและการปฏิบัติในแปลง และคัดเลือกเกษตรกรที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องออกซึ่งในกรณีของรัฐโอเรกอนคำตัดสินสุดท้ายคือเมล็ดพันธุ์อาจตกค้างอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าโดยบังเอิญหรือเกิดจากการปนปนของเมล็ดพันธุ์

ทั้งสองกรณี การค้นพบข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมที่ยังไม่ได้รับอนุญาตทำให้เกิดการหยุดชะงักทางการค้าอย่างมีนัยสำคัญ ในกรณีของสหรัฐอเมริกา มอนซานโต้ได้จ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยความเสียหายแก่เกษตรกรในช่วงที่เกิดการหยุดชะงักทางการค้าเช่นเดียวกับการค้นพบข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมในแคนาดา ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ริเริ่มที่จะห้ามการนำเข้าข้าวสาลีของแคนาดาทั้งหมด ไม่ทราบว่าจะห้ามการนำเข้าอีกนานเท่าไหร่และเกษตรกรชาวแคนาดาจะมีความยากลำบากทางการเงินมากน้อยเพียงไร

มีคนเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “เมื่อกำจัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไปแล้วสิ่งที่ยังคงมีอยู่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต้องเป็นความจริง”และจากหลักฐานที่เห็นได้ ไม่ยอมรับว่าข้าวสาลีที่ค้นพบดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากพรมแดนด้านใดด้านหนึ่ง สิ่งที่เหลืออยู่ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้กับคำว่าเป็นการปลูกโดยเจตนา

ถ้าอย่างนั้นอาจจะต้องถามว่าเพื่อประโยชน์ของใครใครที่ได้รับประโยชน์จากการหยุดชะงักของการส่งออกข้าวสาลีของแคนาดาที่เห็นได้ชัดคือรัสเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้สร้างความปั่นป่วนในระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับพันธุวิศวกรรมของพืช

แต่ก็มีประเทศอื่นที่ซื้อข้าวสาลีของแคนาดา การค้นพบข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมในรัฐแอลเบอร์ตาทำให้ราคาข้าวสาลีของแคนาดาลดลงและจีนเป็นหนึ่งในผู้ซื้อรายใหญ่นอกจากนี้ชาวจีนยังได้ถูกจับกุมและถูกตัดสินว่าขโมยข้าวดัดแปลงพันธุกรรมในอดีตมาแล้ว รวมทั้งจีนเองก็มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคเพื่อสร้างข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรมพันธุ์ใหม่ ๆ

เอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมที่มีการรณรงค์ต่อต้านสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม เป็นผู้ต้องสงสัยที่สำคัญ และกรีนพีซมีประวัติการต่อต้านสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่เป็นการต่อต้านที่ผิดกฎหมาย ในปี2538 องค์กรกรีนพีชประกาศว่า “ได้สกัดกั้นหีบห่อบรรจุเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อผลิตสารกำจัดแมลงที่เป็นพิษขณะที่กำลังถูกส่งออก [และ] เปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมกับเมล็ดพันธุ์ข้าวปกติ “

การตรวจสอบอย่างต่อเนื่องควรพิจารณาถึงแหล่งที่มาของพันธุ์ข้าวสาลีดังกล่าว และให้ความกระจ่างถึงการปรากฏตัวข้างถนนในภาคใต้แอลเบอร์ตา  เกษตรกรชาวแคนาดาต้องการคำตอบ หวังว่า CFIA จะให้คำตอบแก่พวกเขาได้

ครับกล่าวโดยสรุป มีการพบข้าวสาลีดัดแปลงพันธุกรรม ข้างถนนในรัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกเป็นการค้าและจากการสืบสวนไม่พบหลักฐานใด ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการปนเปื้อนโดยไม่ตั้งใจและเมื่อตัดประเด็นต่าง ๆ ออกไปแล้ว ประเด็นที่เหลือน่าจะเป็นเรื่องของการปนเปื้อนโดยตั้งใจ มีการพิจารณาถึงใครได้รับผลประโยชน์จากการทำเช่นนั้น รัสเชีย จีน หรือกลุ่มเอ็นจีโอครับ!

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://dailycaller.com/2018/07/12/canada-gmo-wheat-mystery/