กรมวิชาการเกษตร เร่ง สร้างศูนย์เรียนรู้ “อุปกรณ์ควบคุมภูมิอากาศอัจฉริยะในสวนทุเรียน” แก้ปัญหาความแปรปรวนภูมิอากาศส่งผลกระทบผลผลิตทุเรียน เผยผลการติดตั้งในแปลงเกษตรกร ทำให้ทุเรียนในฤดูการผลิต ปี 2567 มีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตปกติ แม้จะมีสภาพภูมิอากาศแปรปรวนก็ตาม เนื่องจากมีการบริหารจัดการน้ำ ปรับความชื้นในดิน ความชื้นสัมพัทธ์ และอุณหภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ ดร. ภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ซึ่งกำกับดูแลโครงการเกษตรอัจฉริยะ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะทำงานและนักวิจัยที่เกี่ยวข้องในโครงการเกษตรอัจฉริยะ ในแปลงเกษตรกรที่ได้รับการรับรองการปฏิบัติทางเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร (GAP) จากกรมวิชาการเกษตร ในจังหวัดระยอง เพื่อหาแนวทางในการที่จะนำเทคโนโลยีอัจฉริยะที่พัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร มาขยายผลเพื่อแก้ไขปัญหาความแปรปรวนของภูมิอากาศในพื้นที่ปลูกทุเรียนหลักในภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลผลิตจากโครงการเกษตรอัจฉริยะ กรมวิชาการเกษตร ในปี 2566 ซึ่งได้วิจัยพัฒนา“อุปกรณ์ควบคุมภูมิอากาศอัจฉริยะ (Smart Climate Controller)” แก้ไขปัญหาความแปรปรวนภูมิอากาศในสวนทุเรียน
ในฤดูกาลผลิต 2567 จากข้อมูลการตรวจรับรอง เพื่อออกใบรับรองสุขอนามัยพืชการส่งออกทุเรียน ของสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ในฤดูกาลผลิต 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 พฤษภาคม 2567 มีการส่งออกจำนวน 1,173 ตู้/ซิปเมนท์ ปริมาณ 19,098.51ตัน มูลค่า 2,735.54 ล้านบาท ซึ่งผลกระทบของภูมิอากาศมีผลโดยตรงต่อปริมาณและคุณภาพของทุเรียน และทำให้ทุเรียนสุกแก่เร็วกว่าช่วงเวลาที่ได้กำหนดไว้ และคงเหลือผลผลิตหลังช่วงกลางเดือน พฤษภาคมอีกบางส่วนแต่ก็ไม่มาก อาจทำให้ปริมาณผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรลดลง
ด้าน ดร. ภัสชญภณ กล่าวว่า จากการตรวจติดตามแปลงเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP นางรัฐอรอัญญ์ ชุมบุญยืนยง หมู่ 6 ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ซึ่งได้รับการรับรอง GAP ทุเรียน 6 ไร่ มะพร้าว 11.25 ไร่ ฝรั่ง 3.25 ไร่ เงาะ 2.50 ไร่ และลำไย 4.50 ไร่ ในแปลงทุเรียนของเกษตรกรมีการพัฒนาติดตั้ง “อุปกรณ์ควบคุมภูมิอากาศอัจฉริยะ”ร่วมกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นระบบที่มีความสมบูรณ์ จึงมีผลทำให้ทุเรียนในฤดูการผลิต ปี 2567 มีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตปกติ แม้จะมีสภาพภูมิอากาศแปรปรวนเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆในภาคตะวันออก เนื่องจากในสวนมีการบริหารจัดการน้ำ ปรับความชื้นในดิน ความชื้นสัมพัทธ์ และอุณหภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบจากความแปรปรวนของภูมิอากาศได้ดี
คณะผู้วิจัยได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาเปรียบเทียบ “อุปกรณ์ควบคุมภูมิอากาศอัจฉริยะ” แล้วพบว่าแนวทางและหลักการในการควบคุมภูมิอากาศ คล้ายคลึงกับอุปกรณ์ที่พัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร ซึ่งมีเป้าหมายในควบคุมการให้น้ำ เพื่อให้ดินมีความชื้นที่เหมาะสมกับความต้องการของพืช โดยการควบคุมสภาพอากาศบริเวณใต้ทรงพุ่มของทุเรียนให้มีความแปรปรวนน้อย ซึ่งการควบคุมการให้น้ำจะมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศใต้ทรงพุ่มของทุเรียน โดย ความชื้น: การให้น้ำอย่างเหมาะสมจะช่วยรักษาความชื้นในดิน และบริเวณใต้ทรงพุ่ม เพราะน้ำในดินมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างความชื้นในบรรยากาศ ทำให้สภาพอากาศใต้ทรงพุ่มมีความชื้นเหมาะสมตามความต้องการของทุเรียน
ส่วน อุณหภูมิ การควบคุมความชื้นที่เหมาะสม มีผลโดยตรงในการควบคุมอุณหภูมิในดินและอากาศใต้ทรงพุ่มของพืช โดยน้ำที่ได้รับจะช่วยลดอุณหภูมิในดินในช่วงเวลาที่มีแสงแดดร้อน นอกจากนี้ การคายน้ำ การดูดน้ำและสารละลายธาตุอาหารพืช เมื่อควบคุมความชื้นในดินและอุณหภูมิอากาศอยู่ในช่วงที่เหมาะสมได้ การคายน้ำ ดูดธาตุอาหารและการเปิดปิดของปากใบพืชก็จะได้ประสิทธิภาพผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง
“คณะผู้วิจัยที่เข้าร่วมการวิเคราะห์เปรียบเทียบเห็นตรงกันว่า “อุปกรณ์ควบคุมภูมิอากาศอัจฉริยะ” ในแปลงเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP จากกรมวิชาการเกษตรดังกล่าวมีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนำไปใช้แนะนำเป็นแปลงต้นแบบให้กับเกษตรกรที่สนใจรายอื่นๆนำไปปรับใช้ จึงได้มอบหมายให้ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรระยอง ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น และ กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร จัดทำศูนย์เรียนรู้ “อุปกรณ์ควบคุมภูมิอากาศอัจฉริยะในสวนทุเรียน” ในศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 60 วัน เพื่อขยายผลงานวิจัยกรมวิชาการเกษตรด้านเกษตรอัจฉริยะ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ปลูกทุเรียนได้นำไปขยายผลปรับปรุงระบบควบคุมภูมิอากาศภายในสวนตนเองเพื่อแก้ไขปัญหาโลกเดือดต่อไป” รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว