ฟันธงสร้างอุโมงค์ผันน้ำป่าสักฯ-ลำตะคอง เอื้อภาคเกษตรกว่า1.4 แสนไร่ สทนช.เตรียมสรุปผลกระทบ สวล.ภายในเดือนนี้

  •  
  •  
  •  
  •  

เลขาฯ สทนช.ชี้ผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโครงการเจาะอุโมงค์ผันน้ำเขื่อนป่าสักฯ -ลำตะคอง เสร็จไม่เกินเดือนกันยายนนี้ ก่อนส่งมอบให้กรมชลประทานใช้เป็นกรอบแนวทางเตรียมความพร้อมเพื่อสำรวจออกแบบ เผยหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำผันเพิ่มขึ้น 60 ล.ลบม.เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค ภาคอุตสาหกรรม และภาคการกษตรครอบคลุมพื้นที่154,195 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 77,600 ครัวเรือน เพิ่มรายได้ครัวเรือนละ 14,400 บาท/ปี

     วันที่ 6 กันยายน 2564 ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ลงพื้นที่เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ณ กองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 2 กรมการสัตว์ทหารบก ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นจุดปลายอุโมงค์ผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ไปยังเขื่อนลำตะคองและเป็นพื้นที่จัดการวัสดุขุดจากอุโมงค์ด้วย

    ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า รัฐบาลมีความพยายามในการเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติอย่างรอบด้านก่อนเริ่มการก่อสร้างโครงการ เช่นเดียวกับโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนลำตะคองซึ่งเป็นการผันน้ำจากลุ่มน้ำข้างเคียง (ลุ่มน้ำป่าสัก) เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในระยะยาวในจังหวัดนครราชสีมา คาดว่าจะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นจาก 336 เป็น 367 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

    จากการการศึกษาที่ผ่านมาได้วิเคราะห์ปริมาณน้ำต้นทุน ความต้องการใช้น้ำและการพัฒนาแหล่งน้ำในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในลุ่มน้ำลำตะคอง รวมทั้งเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ค่าลงทุนและค่าใช้จ่ายในการผันน้ำหรือจุดคุ้มทุนพบว่าทางเลือกการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำป่าสักฯ ไปยังอ่างเก็บน้ำลำตะคองมีความเป็นไปได้มากที่สุด

    อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนลำตะคองมีความครบถ้วนรอบด้าน โดยเฉพาะประเด็นผลกระทบสิ่งแวดล้อม สทนช.ได้เร่งรัดการดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ซึ่งใกล้แล้วเสร็จไม่เกินเดือนกันยายนนี้ ก่อนส่งมอบให้กรมชลประทานใช้เป็นกรอบแนวทางเตรียมความพร้อมเพื่อสำรวจออกแบบ และนำมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปใช้ก่อนจะมีการก่อสร้างโครงการต่อไป อาทิ มาตรการป้องกันและลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ หรือผลกระทบต่อป่าไม้และสัตว์ป่าในเขตป่าสงวน เป็น

    ทั้งนี้การดำเนินการพื้นที่ดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และขอผ่อนผันในการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1A ตามแนวอุโมงค์ผันน้ำถึงแม้ว่าเป็นงานขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดินก็ตาม เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จต้องติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ป่าไม้ และสภาพนิเวศวิทยาป่าไม้โดยรอบพื้นที่โครงการและตามแนวอุโมงค์ผันน้ำที่ลอดผ่านป่าสงวนแห่งชาติ รวมถึงการปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ที่ต้องสูญเสียไปในระหว่างการก่อสร้างฯด้วย

  เลขาธิการ สทนช. กล่าวอีกว่า  โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนลำตะคอง ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำผันเพิ่มขึ้น 60 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค เพื่อธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อการทำเกษตรครอบคลุมพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง 154,195 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 77,600 ครัวเรือน และรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น 14,400 บาท/ปี

    สำหรับการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี จะทำในช่วงฤดูน้ำหลาก (ก.ค. – ต.ค.) เท่านั้น และผันน้ำส่วนเกินของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ไปยังเขื่อนลำตะคอง 60 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีเกณฑ์กำหนดว่าหากปริมาณน้ำในเขื่อนป่าสักมีระดับลดลงเกิน 1 เมตรจากจุดสูงสุดของเส้นระดับควบคุมปริมาณน้ำ จะหยุดผันน้ำทันที   

    ส่วนโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนลำตะคอง ประกอบด้วย สถานีสูบน้ำป่าสักชลสิทธิ์ สถานีสูบน้ำเพิ่มแรงดัน (วัดพุทธานนท์) อุโมงค์ผันน้ำยาวประมาณ 20 กิโลเมตร และระบบท่อผันน้ำจากสถานีสูบน้ำป่าสัก-สถานีสูบน้ำเพิ่มแรงดัน-ปากอุโมงค์ และท่อผันน้ำจากปลายอุโมงค์-อ่างเก็บน้ำลำตะคอง ความยาวท่อผันน้ำประมาณ 23 กิโลเมตร รวมความยาวการผันน้ำทั้งสิ้น 43 กิโลเมตร