สทนช.เปิดเวทีแจงข้อมูลการสร้าง“เขื่อนหลวงพระบาง”แก่ภาคประชาชนริมแม่น้ำโขง 8 จว.

  •  
  •  
  •  
  •  

สทนช. ร่วมคณะกรรมการลุ่มน้ำและผู้แทนภาคประชาชน 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง เปิดเวทีให้ข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง ตามระเบียบปฏิบัติของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง ครั้งที่ 1 เพื่อรวบรวมข้อกังวลด้านผลกระทบของประชาชนริมแม่น้ำโขงต่อ สปป.ลาว ผ่านกลไก PNPCA 

       เมื่อวันนี้ 24 ธันวาคม 2562 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดเวทีให้ข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง สปป.ลาว ตามระเบียบปฏิบัติ ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง ครั้งที่ 1 ขึ้น ณ ศูนย์ประชุมหนองบึก สหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม  โดยมี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานพิธีเปิด นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวให้การต้อนรับ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 150 คน อาทิ ดร.จันสะแหวง บุนยง อธิบดีกรมนโยบายและแผนพลังงาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการลุ่มน้ำและผู้แทนภาคประชาชนในพื้นที่นครพนม จังหวัดหนองคาย และจังหวัดบึงกาฬ

        ดร.สมเกียรติ  กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการเปิดเวทีให้ข้อมูล โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง (Procedures for Notification, Prior Consultation and Agreement หรือ PNPCA ว่า เป็นประโยชน์ต่อประชาชนริมแม่น้ำโขง 8 จังหวัดที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการฯ ที่จะได้รับทราบข้อมูลและได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อห่วงกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ส่งผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ  

        ขณะเดียวกันหน่วยงานในพื้นที่ยังจะได้รับทราบข้อมูลองค์ประกอบและการพัฒนาโครงการ รวมถึงเสนอความคิดเห็นต่อข้อกังวลที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการเปิดเวทีวันนี้จะมีการให้ข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง ของ สปป.ลาว เป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่ สปป.ลาว ได้เสนอโครงการผ่านทางคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง โดยสาระสำคัญจะเน้นชี้แจงความเป็นมาของโครงการฯ ระเบียบปฏิบัติ PNPCA ให้ข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง สปป. ลาว

      รวมทั้งชี้แจงสรุปผลรายงานทบทวนทางด้านเทคนิคของโครงการฯ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูล การบรรยายสรุปความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศต่อร่างรายงานทบทวนทางด้านเทคนิคของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง สปป. ลาว (Technical Review Report: TRR) รวมทั้งรายงานผลการประชุมเวทีการให้ข้อมูลที่ผ่านมา ตลอดจนรับฟังข้อห่วงกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากทุกภาคส่วน และส่งให้ สปป.ลาวได้รับทราบผ่านกลไก PNPCA

      สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบางนับเป็นโครงการลำดับที่ 5 ที่ สปป.ลาว มีแผนจะก่อสร้างบนแม่น้ำโขงสายประธาน ต่อจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี โครงการไฟฟ้าพลังน้ำดอนสะโฮง โครงการไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำปากลาย ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวเป็นประเด็นที่ภาคประชาชนและประชาสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดแม่น้ำโขงของไทยทั้ง 8 จังหวัด

       ดังนั้น สทนช. ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee: TNMC) ทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานงานภายใต้กรอบความร่วมมือ MRC ได้กำหนดจัดเวทีให้ข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง สปป. ลาว ภายในประเทศ 3 ครั้ง เพื่อนำข้อมูลในด้านเทคนิคเกี่ยวกับการก่อสร้างเขื่อนหลวงพระบางจากการประชุมกับ สปป.ลาว ในฐานะประเทศเจ้าของโครงการ และข้อคิดเห็นจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ถ่ายทอดสู่ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงรับฟังประเด็นข้อห่วงกังวลต่อผลกระทบสะสมและข้ามพรมแดนของโครงการฯ ต่อพื้นที่ท้ายน้ำต่อคนในท้องถิ่น อาทิ

       ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม รวมถึงระบบนิเวศลำน้ำโขง เป็นต้น ที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการ นำไปสู่การกำหนดเป็นท่าทีประเทศไทยเสนอ สปป.ลาว พิจารณา ผ่านสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กรณีการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบางตามลำดับต่อไป ซึ่งเป็นไปตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2538 ที่ประเทศสมาชิกมีข้อตกลงร่วมกันที่จะใช้น้ำของระบบลุ่มแม่น้ำโขงอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรม หากมีการนำน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ภายในลุ่มน้ำหรือผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ ทั้งนี้ สทนช. จะได้ติดตามและร่วมจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Action Plan) ของโครงการร่วมกับ 4 ประเทศ เพื่อให้การพัฒนาเขื่อนหลวงพระบางเกิดประโยชน์และผลกระทบน้อยที่สุด หรือมีมาตรการอย่างเหมาะสมรองรับการพัฒนาต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าว