“สทนช.”ตั้ง“ฉก.ชั่วคราวในภาวะวิกฤติ”ติดตามสถานการณ์น้ำ

  •  
  •  
  •  
  •  

 

 

“สทนช.”เดินหน้าสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำของประเทศ    ตอกย้ำภารกิจองค์กรมุ่งบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับชาติ- ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์น้ำ20ปี พร้อมจัดตั้ง“ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ”เพื่อทำหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

          นายสมเกียรติ    ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)  กล่าวภายหลังเดินสายพบปะสื่อมวลชนเพื่อแนะนำบทบาท ภารกิจในการก่อตั้ง สทนช.รวมทั้งชี้แจงแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการน้ำของชาติทั้งระยะสั้น-ระยาวในอนาคต   ตลอดจนสร้างการรับรู้เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศในเชิงรุกแก่สื่อมวลชนซึ่งถือเป็นกลไกลสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่สาธารณชนและประชาชนในประเทศว่า   ตามที่รัฐบาลได้ปรับปรุงกลไกในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศใหม่ให้มีระบบและมีเอกภาพยิ่งขึ้น จากเดิมที่ยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรงโดยการตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ขึ้นมาภายใต้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่งตั้งสำนักงานฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค.61 และแต่งตั้งเลขาธิการคนแรก เมื่อวันที่ 22 พ.ย.60 ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ 38 หน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแผนงาน โครงการ งบประมาณน้ำด้าน เพื่อลดปัญหาความซ้ำซ้อน และแก้ไขปัญหาได้ตรงกับความต้องการของประชาชน

        ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานของสทนช.มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คณะกรรมทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯขึ้นมา 4 คณะ   เพื่อขับเคลื่อนภารกิจหลักของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ให้การดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่บรรลุผล และมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 2) คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง วิเคราะห์โครงการ และติดตามประเมินผลการบริหารจัดการ 3) คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และ 4) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้      

         1) จัดทำ ขับเคลื่อน (แผนยุทธศาสตร์/ แผนแม่บท/ แผนปฏิบัติการ/ พรบ.ทรัพยากรน้ำ),2) กลั่นกรอง ติดตามประเมินผล  แผนงาน และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับด้านน้ำ,3) คาดการณ์สถานการณ์น้ำ/Single Command Center/ จัดสรรน้ำ, และ    4) ทำแผน กำกับดูแล ประสาน สั่งการ ขับเคลื่อน ติดตามประเมินผล โครงการสำคัญ และโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ   โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายการแก้ปัญหาและการพัฒนาอย่างเป็นระบบ (Area based) จำนวน 66 พื้นที่ รวม 29.7 ล้านไร่  แบ่งเป็น พื้นที่ประสบปัญหาด้านน้ำ (53 พื้นที่ 17.2 ล้านไร่)  และ พื้นที่ที่ต้องสนับสนุนการพัฒนา 13 พื้นที่ 12.5 ล้านไร่ มีโครงการสำคัญเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ดังกล่าว และพร้อมดำเนินงานในปี 25622565 รวม 31 โครงการ จะสามารถเพิ่มน้ำต้นทุนได้ 4,325 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 4.87 ล้านไร่

          ส่วนปี 2562 มีความพร้อม 12 โครงการ เพิ่มน้ำต้นทุนได้ 378 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 959,051 ไร่ ดังนี้ 1)ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 โครงการ : บรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ (ระยะที่1) จ.ชัยภูมิ / อ่างเก็บน้ำลำน้ำชี จ.ชัยภูมิ /  ประตูระบายน้ำบ้านก่อพร้อมระบบส่งน้ำ จ.สกลนคร / อ่างเก็บน้ำลำสะพุง จ.ชัยภูมิ /แผนพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง จ.หนองคาย / ประตูระบายน้ำศรีสองรัก  จ.เลย / ประตูระบายน้ำ ลำน้ำพุง-น้ำก่ำพร้อมคลองผันน้ำ จ.สกลนคร2)ภาคกลาง 4 โครงการ : อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองแสนแสบ กทม. / อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองทวีวัฒนา กทม. /อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองเปรมประชากร กทม. /คลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา3)ภาคใต้ ได้แก่โครงการบรรเทาอุทกภัยนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช

          “รัฐบาลจะมุ่งมั่นในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อลดผลกระทบน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระยะต่อไปได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการสำคัญ โดยจะสืบสานปณิธานตามแนวทางพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบรรลุผล และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน” นายสมเกียรติ  กล่าว 

            เลขาธิการ สทนช. กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในห้วงฤดูฝน ปี 2561 ด้วยว่า  คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย  สาริกัลยะ) เป็นประธาน ทำหน้าที่บริหารจัดการ อำนวยการ ติดตาม วิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ และสั่งการเพื่อป้องกัน เตือนภัย และบรรเทาจากน้ำ  และได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ เมื่อวันที่ 2 ส.ค.61 โดยมีหน่วยงานด้านน้ำที่เกี่ยวข้องจาก 9 หน่วยงาน ร่วมบูรณาการทำหน้าที่อำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การติดตาม การวิเคราะห์แนวโน้ม การควบคุม กำกับ ดูแล และเพื่อบูรณาการจัดการทรัพยากรน้ำ รวมทั้งติดตามผลกระทบจากน้ำท่วมในฤดูฝนและพื้นที่แห้งแล้งในฤดูฝนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันโดยปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯ