พายุดีเปรสชัน “บารีจัต” สลายตัวแล้วค่ำวานนี้ ศูนย์เฉพาะกิจฯ ยังจับตาใต้ฝุ่น “มังคุด” จ่อถล่มเพิ่มหลายพื้นทื่ พุ่งเป้าภาคเหนือและอีสานตอนบนฝนหนักบางแห่งช่วง 17 -18 ก.ย. นี้
นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ ประจำวันที่ 14 ก.ย. 61 ว่า วันนี้ประเทศไทยยังพบว่า มีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทั้งนี้ เมื่อเวลา 19.00 น. วานนี้ พายุดีเปรสชัน “บารีจัต” (BARIJAT) ได้สลายตัวแล้ว ยังเหลือไต้ฝุ่น “มังคุด”กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตก ค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย และจะลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศจีนตอนใต้และอ่อนกำลังลงตามลำดับ และจะสลายตัวบริเวณประเทศจีนตอนใต้ หรือเวียดนามตอนบนในระยะต่อไป ซึ่งผลกระทบกับประเทศไทยนั้นทางตรงคาดว่าจะมีฝนเพิ่มขึ้นในภาคเหนือและอีสานตอนบน และมีฝนหนักบางพื้นที่ได้ในวันที่ 17 -18 ก.ย. 61
นอกจากนี้ พายุลูกนี้จะทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้แรงขึ้น ทำให้บริเวณพื้นที่รับลมมรสุมด้านตะวันตกของภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ สำหรับบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ย. 61 ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง รวมถึงดินโคลนถล่ม ซึ่งศูนย์เฉพาะกิจฯ ยังต้องเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับสถานการณ์ฝนวันนี้ พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงฝนตกหนักถึงหนักมาก 49 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม สมุทรสาคร นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง โดยฝนสะสม 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกหนักถึงหนักมากสูงสุดที่ จ.อุบลราชธานี 202 มม. จ.ศรีสะเกษ 115 มม. ปราจีนบุรี 95 มม. อุดรธานี 94 มม.กำแพงเพชร 91 มม. ลำพูน 70 มม. เชียงราย 69 มม. สระแก้ว 67 มม. ตราด 66 มม. ระยอง 65 มม. ประจวบคีรีขันธ์ 61 มม. ตาก 61 มม. ชัยภูมิ 61 มม. กรุงเทพมหานคร 60 มม. เลย 58 มม. สตูล 58 มม. น่าน 56 มม. ตามลำดับ
นายสำเริงกล่าวเพิ่มเติมถึงปริมาณน้ำในอ่างฯขนาดใหญ่ที่มีระดับเกินเกณฑ์ควบคุม (Upper Rule Curve) และปริมาณน้ำเกินร้อยละ 80 ของความจุ มี 6 แห่ง พบว่าปริมาณน้ำไหลเข้ายังน้อยกว่าระบายออก โดยเขื่อนน้ำอูน จ.สกลนครปริมาณน้ำคิดเป็น 104% ของความจุ เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี คิดเป็น 99% ไม่มีน้ำล้นทางระบายน้ำ (Spillway) เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี คิดเป็น 92% เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก คิดเป็น 86% และเริ่มลดการระบายน้ำ ทั้งนี้ต้องติดสถานการณ์ฝนเพื่อปรับแผนการระบายน้ำ พร้อมแจ้งให้พื้นที่ท้ายเขื่อนทราบต่อเนื่อง เขื่อนนฤบดินทรจินดา จ.ปราจีนบุรี คิดเป็น 89%
ขณะที่สถานการณ์น้ำในแม่น้ำที่ยังต้องเฝ้าระวัง จากอิทธิพลพายุไต้ฝุ่นมังคุดซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำสูงขึ้นเพิ่มจากในปัจจุบันยังต้องติดตามสถานการณ์ฝนต่อเนื่อง ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีน้ำสูงกว่าระดับตลิ่งในแม่น้ำสงคราม จ.สกลนคร อ.เซกา จ.บึงกาฬ แนวโน้มลดลงตามการลดลงของแม่น้ำโขง ห้วยหลวง จ.อุดรธานี แนวโน้มลดลง ห้วยคะนานหลง ต.นาสี อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู แนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนภาคตะวันออก มีน้ำสูงกว่าระดับตลิ่งในแม่น้ำนครนายก บริเวณ อ.องครักษ์ จ.นครนายก แนวโน้มทรงตัว แม่น้ำปราจีนบุรี บริเวณ อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี แนวโน้มลดลง แม่น้ำบางปะกง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา แนวโน้มทรงตัว และภาคกลาง มีน้ำสูงกว่าระดับตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำในแม่น้ำป่าสัก บริเวณ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี.