ชวภณ วัธนเวคิน
สว.ตราด “ชวภณ วัธนเวคิน” เล็งชงแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยีชีวภาพว่าด้วยการตัดต่อพันธุกรรมพืชเพื่อให้ทนต่อสภาพอากาศทั้งน้ำท่วมและแห้งแล้งได้อย่างฉับพลัน ต่อประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติฯ วุฒิสภาเร็วๆนี้ พร้อมแนะคนไทยปรับตัวสู้ภาวะโลกเดือด เชื่อเอาแบบอย่างเนเธอร์แลนด์สร้างกำแพงกั้นทะเลป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯดีกว่าย้ายเมืองหลวง
นายชวภณ วัธนเวคิน สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดตราด ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการการบริหารจัดการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วุฒิสภา เป็นผู้แทนของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เข้าร่วมฟังการสัมนาครบรอบ 40 ปีของการก่อตั้งทีดีอาร์ไอ ในหัวข้อ “ปรับประเทศไทย…ให้อยู่รอดได้ในยุคโลกเดือด”
นายชวภณ กล่าวว่า สาระสำคัญคือเราจะปรับตัวอย่างไรในภาวะโลกร้อน ทั้งทางด้านสังคมเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ โดยประเทศไทยมีภาคการเกษตรเป็นตัวนำภาคเศรษฐกิจ ต้องปรับตัวโดยหานวัตกรรมใหม่ๆ เช่นการตัดต่อพันธุกรรมพืชเพื่อให้ทนต่อสภาพอากาศทั้งน้ำท่วมและแห้งแล้งได้อย่างฉับพลัน โดยจะนำความรู้ที่ได้ในวันนี้ไปปรึกษานายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาศึกษาปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มต่อไป
เขื่อนกันน้ำที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ (ซ้าย)เมืองซีแลนด์ (ขวา)ร๊อตเตอร์ดัม
นายชวภณ กล่าวถึงข้อเสนอของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ ที่ให้สร้างกำแพงกั้นทะเลป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ หรือจะย้ายเมืองหลวงแทนอันไหนจะคุ้มค่ากว่ากันนั้นว่า น่าจะเอาแบบอย่างประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ไม่ยอมย้ายเมืองหลวงไปไหนและสร้างกำแพงกั้นทะเลเพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงอายุ 200 กว่าปี ที่ย้ายแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่โตมาก และไม่ใช่การตอบโจทย์ที่ดีเท่ากับการสร้างกำแพงกั้นน้ำ ซึ่งต้องศึกษาตามแบบอย่างของประเทศเนเธอร์แลนด์ และการสร้างการตระหนักรู้ให้ประชาชนรู้จักปรับตัวกับสภาวะโลกเดือด