ตั้ง กก.ประมงจังหวัดกำหนดมาตรการเรือจับหอยแครง หลังเกิดพิพาทที่่ชลฯ กรมประมงยัน จนท.ต้องรักษาทรัพยากรให้มีใช้อย่างยั่งยืน

  •  
  •  
  •  
  •  

กรมประมง ชี้แจงข้อพิพาทเรือประมงหอยแครงที่ชลบุรี ยืนยัน จนท. ต้องรักษาทรัพยากรให้มีใช้อย่างยั่งยืน เผยล่าสุดทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปและกำหนดแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรหอยแครง ในรูปแบบการขับเคลื่อนของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด ให้รกำหนดมาตรการต่างๆ ให้เหมาะสม ย้ำต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 เน้นส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในชุมชนต่อไป

       จากกรณีที่มีกลุ่มเรือประมงผิดกฎหมายจากพื้นที่คลองตำหรุ จังหวัดชลบุรี  หลายสิบลำ เข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าตรวจการประมง ด้วยการล้อมเรือ และขับเรือพุ่งชนขณะเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลชลบุรี ที่กำลังเข้าตรวจสอบเหตุลักลอบทำการประมงหอยแครง บริเวณกลางอ่าวบางปะกง จังหวัดชลบุรี เป็นเหตุให้เรือตรวจการประมงเสียหาย และเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 3 นาย เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 นั้น ล่าสุดนายบัญชา  สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง  ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีหน่วยงานของกรมประมงได้รับรายงานว่ามีเรือประมงกว่า 20 ลำ กำลังทำการประมงลูกหอยแครง บริเวณเขตทะเลชายฝั่ง ด้วยเครื่องมือผิดกฎหมาย ทั้งเครื่องมือคราดลูกหอยแครง อวนลากคานถ่าง ที่ใช้มุ้งทำถุงอวนลากเก็บลูกหอยแครง

                                                    บัญชา  สุขแก้ว 

      ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนเข้าตรวจสอบ และแจ้งให้เรือหยุดทำการประมง แต่เรือเหล่านั้นกลับไม่ยอมหยุด และพยายามขับเรือพุ่งชนเรือของเจ้าหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เรือตรวจการประมง 106 ได้รับความเสียหาย น้ำรั่วเข้าภายในตัวเรือ  และมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย หลังจากนั้น ศูนย์ประสานการปฏิบัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล. ภาค 1) ได้ส่งเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง 268 พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งพบกลุ่มเรือประมง ประมาณ 40 – 50 ลำ ทั้งจากพื้นที่คลองตำหรุ จังหวัดชลบุรี  แสมขาว จังหวัดฉะเชิงเทรา  ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ  มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร และคลองโคน จังหวัดสมุทรสงคราม  หลายสิบลำ พร้อมลูกเรือกว่า 100 คน ที่พยายามขับไล่และล้อมเรือของเจ้าหน้าที่ และพยายามที่จะขอเจรจาทำประมงต่อ

        อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันให้หยุดทำการประมงดังกล่าว เนื่องจากเป็นการทำประมงที่ผิดกฎหมายและยังเป็นการทำประมงที่สร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรสัตว์น้ำหน้าดินอย่างมาก โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณกลางอ่าวบางปะกง จังหวัดชลบุรีนี้  เป็นพื้นที่ชุกชุมของลูกหอยแครง เพราะดินบริเวณชายฝั่งทะเลมีสภาพเป็นหาดโคลนหรือพื้นดินเลนละเอียด ซึ่งเป็นแหล่งที่หอยแครงชอบฝังตัว

      ทั้งนี้จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า หอยแครงสามารถวางไข่ได้ตลอดปี แต่ช่วงที่วางไข่มาก จะอยู่ระหว่างช่วง ต.ค. – ธ.ค. และช่วง มี.ค. – ส.ค.ซึ่งเมื่อวางไข่แล้วลูกหอยแครงจะมีโอกาสแพร่กระจายไปตามกระแสน้ำที่พัดพาในรัศมี 10 กิโลเมตรจากปากแม่น้ำ และจะตกลงพื้นเคลื่อนตัวเพื่อหาแหล่งอาหารหรือสภาพที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตเพื่อเติบโตเป็นหอยแครงเต็มวัยต่อไป

       นายบัญชา  กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน ชาวประมงพื้นบ้านจะมีการเก็บรวบรวมลูกหอยแครงขนาด 18,000 – 20,000 ตัว/กิโลกรัม ขายเพื่อนำไปเลี้ยงต่อ 8 เดือน – 1 ปี จนตัวเต็มวัยแล้วจึงส่งขายตลาด โดยราคาลูกหอยแครง จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 800 – 1,000 บาท ซึ่งถือว่ามีมูลค่าสูงทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การทำประมงลูกหอยแครงจึงเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนดโดยมาตรการในการอนุรักษ์หอยแครง

      “เดิมเป็นมาตรการที่ออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ได้กำหนดห้ามมิให้ทำการประมงคราดหอยประกอบเรือกล ในเขต 3,000 เมตรนับจากฝั่ง และห้ามจับลูกหอยแครง ที่มีขนาดต่ำกว่า 6 มิลลิเมตร ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม  แต่เมื่อมีพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ออกมาบังคับใช้  ได้มีการกำหนดให้สามารถทำการประมงหอยแครงในเขตทะเลชายฝั่งได้โดยการจับด้วยมือหรือเครื่องมือที่ไม่ใช้ประกอบเรือกล แต่ยังคงห้ามเครื่องมืออวนลากหรือคราดหอยในเขตทะเลชายฝั่ง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงเช่นเดิม” นายบัญชา กล่าว

       รองอธิบดีกรมประมง กล่าวต่อไปว่า ส่วนในเขตทะเลนอกชายฝั่งให้ใช้คราดหอยประกอบเรือกลได้ แต่ต้องได้รับใบอนุญาตทำการประมงประมงพาณิชย์เท่านั้นซึ่งเป็นการผ่อนผันให้มีความสอดคล้องกับวิถีประมงในปัจจุบันและสอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการในการบริหารทรัพยากรสัตว์น้ำของลูกหอยแครงที่จำเป็นต้องมีวิธีการกระจายปริมาณลูกหอยแครงไปยังแหล่งต่างๆ จึงจะก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากลูกหอยแครงได้อย่างสูงสุดโดยใช้กฎหมายควบคุมเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรทำให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้ทรัพยากรอย่างทั่วถึง

        ฉะนั้น การที่กลุ่มชาวประมง ซึ่งมีเรือประมงพื้นบ้านที่ทำผิดกฎหมาย  อยู่ประมาณ 50 ลำ ซึ่งไม่ถึง 1 % ของจำนวนเรือประมงพื้นบ้านทั้งหมด ประมาณ 6,200 ลำ ที่ทำประมงอย่างถูกกฎหมายในเขตพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี)พยายามให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนในเชิงลักษณะกล่าวหาว่ากฎหมายประมงสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องชาวประมงนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาชี้แจงกัน

       ส่วนแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว วานนี้ (วันที่ 25 มกราคม 2564) สำนักงานประมงจังหวัดชลบุรี ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศรชล.ภาค 1  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตพื้นที่  ชาวประมงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาร่วมประชุมหารือและได้ข้อสรุปว่า จะมีการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรหอยแครงอย่างยั่งยืน โดยใช้รูปแบบการขับเคลื่อนของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดในการกำหนดมาตรการต่างๆ เช่น การกำหนดเครื่องมือ วิธี และพื้นที่ทำการประมงให้เหมาะสม ภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558

    อีกทั้ง จะมีการส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในชุมชน และประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมาย พ.ร.ก.ประมง 2558 เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรลูกหอยแครงในธรรมชาติซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะให้ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเหมาะสมต่อไป