ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่เป็นนโยบายสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนให้ ’เกษตรกรรายย่อย“ ที่ผลิตสินค้าทางการเกษตรประเภทเดียวกันได้รวมกลุ่มกันเพื่อบริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และยกระดับสินค้าให้มีมาตรฐาน รวมทั้งสามารถแข่งขันในตลาดได้ ภายใต้การสนับสนุนอย่างบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี
ดร.อดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 61 กรมประมงมีเป้าหมายส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่รวมทั้งสิ้น 77 แปลง คิดเป็นพื้นที่กว่า 48,000 ไร่ มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ 4,667 ราย ซึ่งในด้านการประมงนั้นมีสัตว์น้ำที่หลากหลายชนิดที่เข้าร่วมโครงการฯ อาทิ ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลายี่สก ปลาดุก ปลาแรด กุ้งก้ามกราม ปูทะเล รวมถึง “ลูกอ๊อดกบ” ซึ่งเป็นหนึ่งในชนิดสัตว์น้ำนำร่องที่กรมประมงผลักดันให้เข้าสู่โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ด้านการประมงแห่งแรกของประเทศไทย เนื่องจากเป็นสัตว์น้ำ ที่ตลาดในท้องถิ่น มีความต้องการสูง ราคาดี อีกทั้งยังเป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสในช่วงหน้าแล้ง ที่เกษตรกรว่างเว้นจากการปลูกข้าวนาปี มาปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อเพาะเลี้ยงลูกอ๊อดกบ ซึ่งจะช่วยสร้างวิถีเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้เป็นอย่างดี
ด้าน นายสมชัย วงษ์สุข เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงลูกอ๊อดกบ บ้านหนองแต้ หมู่ที่ 7 ต.นาขาม อ.เรณูนคร จ.นครพนม เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้จัดการแปลงภาคเกษตรกรของโครงการแปลงใหญ่ลูกอ๊อดกบ จ.นครพนม ชาวบ้านที่นี่เพาะเลี้ยงลูกอ๊อดกบมากว่า 15 ปี จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป จนเป็นที่มาของคำว่า “กบร้องก้องเรณู” โดยชาวบ้านจะเลี้ยงลูกอ๊อดกบ ช่วงระหว่าง เดือน มี.ค.-ก.ค. ซึ่งเว้นว่างจากการทำนาปี เพราะขาดแคลนน้ำเพาะปลูกอย่างอื่นไม่ได้ ระยะแรกเลี้ยงเพื่อหารายได้เป็นอาชีพเสริมของครอบครัว จนกระทั่งตลาดเริ่มขยายตัวมีความต้องการสูงขึ้น ชาวบ้านจึงสนใจหันมาเลี้ยงกันมากขึ้น แต่ประสบปัญหาในการผลิตเนื่องจากค่าอาหารซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการเลี้ยงสูง เกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดเทคนิค ความรู้ และวิธีการบริหารจัดการที่ถูกต้อง กระทั่ง “กรมประมง” โดย สำนักงานประมง จ.นครพนม และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม ได้เข้ามาแนะนำให้รวมกลุ่มกันตาม “โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ด้านการประมง” มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการฯ ช่วงแรก 32 ราย มีพื้นที่การ เพาะเลี้ยงประมาณ 54 ไร่ จึงได้ทำการจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน “ผู้เพาะเลี้ยงลูกอ๊อดกบ” กลุ่มแรกของประเทศไทย ซึ่งผลจากการรวมกลุ่ม ทำให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียน และช่วยในการต่อรองราคาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยง โดยมีภาครัฐเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหา ในการบริหารจัดการ พร้อมสนับสนุนความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเพาะเลี้ยงต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
นายสมชัย กล่าวต่อว่า สำหรับการเพาะพันธุ์ลูกอ๊อดกบนั้น เริ่มจากการนำพ่อแม่พันธุ์ 150 คู่ มาปล่อยไว้ในบ่อดินขนาด 4×20 เมตร เป็นเวลา 1 คืน เพื่อให้ผสมพันธุ์วางไข่ตามธรรมชาติ ตอนเช้าจึงนำพ่อแม่พันธุ์ออกจากบ่อ จากนั้นประมาณ 1 วัน ไข่จะฟักออกเป็นตัวลูกอ๊อด ใช้ระยะเวลาอนุบาลอีก 18-20 วัน ก็สามารถจับขายได้ โดยแม่พันธุ์กบ 1 ตัว จะให้ผลผลิตลูกอ๊อดถึง 3,000 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งในแต่ละปีจะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเดินทางมารับซื้อผลผลิตลูกอ๊อดถึงในพื้นที่ เพื่อส่งขายออกสู่ตลาดทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับราคาขายในช่วงต้นฤดูสูงถึงกิโลกรัมละ 180 – 200 บาท (450-500 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม) กลางฤดูราคาจะลดลงอยู่ที่กิโลกรัมละ 110 -150 บาท สร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ปีละหลายสิบล้านบาท ถือเป็นการหมุนเวียนการใช้ประโยชน์พื้นที่นาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด.
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ : อ่านเพิมเติม : https://www.dailynews.co.th/agriculture/648478