สแกนผลงานรัฐบาล “น้าสน” พระเอกตัวจริง ขวัญใจชาวสวนปาล์มฯ

  •  
  •  
  •  
  •  

ดลมนัส กาเจ

         ท่ามกลางความความหดหู่ของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ที่กำลังประสบกับมรสุมอันเลวร้ายในการดำรงชีพ อันเกิดจากราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันราคาถูกเหลือไปถึง กก.ละ 2 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ กก.ละกว่า 3 บาท ในช่วงต้นปี 2562 แล้วจู่ๆ ราวกับว่า น้าสน “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คือพระเอกขี่ม้าขาวเข้าชุบชีวิตเกษตรกรชาวสวนปาล์มฯทั่วประเทศให้มีรอยยิ้มแก้มปริ ด้วยความหวังว่า นับจากนี้ไปความอยู่ดีกินดีของเกษตรกรชาวสวนปาล์มฯนั้นเห็นเป็นลางๆ ขึ้นมาแล้ว หลังที่ สนธิรัตน์ ประกาศเดินหน้า ใช้น้ำมันปาล์มผลิตน้ำมันไบโอดีเซล B10 ทำให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันพุ่งขึ้นเป็นรายวัน จนทะยานทะลุเบดาน กก.ละ 7 บาทอย่างไม่น่าเชื่อ

            แม้ล่าสุดราคาผลปาล์มน้ำมัน ที่เป็นทลายอาจลดลงจากก่อนหน้านี้ที่เคยพุ่ง กก.ละกว่า 7 บาท มาอยู่ที่เฉลี่ย กก.ละ 5 บาท เพราะใกล้เข้าสู่ฤดูกาลผลผลิตออกสู่ตลาดในเดือนหน้า แต่กระนั้นเมื่อเทียบกับก่อนที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติ เห็นชอบส่งเสริมใช้น้ำมันไบโอดีเซล B10 เป็นน้ำมันพื้นฐาน เริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2563 ตามนโยบายของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่พยายามพลักดันมาก่อนหน้านี้ ถือว่าราคาปาล์มน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัว

           หากย้อนไปราวช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2562 เกษตรกรชาวสวนปาล์ม ขายผลผลิตปาล์มน้ำมัน(ทลาย)ในพื้นที่ได้เฉลี่ยที่ กก.ละ 1.40-1.50 บาทเท่านั้น จากที่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2563 ราคาอยู่ที่ กก.ละ 1.91 บาท ถื่อตกต่ำที่สุดในรอบ 17 ปี

            พลันที่นายสนธิรัตน์ ออกมาเปิดเผยผลการประชุม กพช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ว่า ที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ส่วนเกินในท้องตลาด และเพื่อรักษาระดับราคา CPO ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ด้วยการขยายส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ให้ต่ำกว่า B7 จากเดิม 1 บาทต่อลิตร เป็น 2 บาทต่อลิตร และลดส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมัน B20 ให้ต่ำกว่าน้ำมัน B7 จากเดิม 5 บาทต่อลิตร เป็น 3 บาทต่อลิตร เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป และที่สำคัญยิ่งในการประชุมในครั้งนั้น กพช. ยังเห็นชอบการบังคับใช้น้ำมัน B10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 โดยให้น้ำมัน B7 และ B20 เป็นทางเลือกด้วย ทำให้ไม่นานนักราคาปาล์มน้ำมันพุ่งทะยานขึ้นพรวดทันที สร้างความดีใจให้กับชาวสวนปาล์มน้ำมันอย่างทั่วหน้าและทุกภูมิภาค ทำให้ นายสนธิรัตน์ กลายเป็น “ฮีโร่ตัวจริง”ของชาวสวนปาล์มทันที ราวกับพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยชาวสวนปาล์มที่กำลังจะล่มสลาย เพราะประสบกับขาดทุนที่ราคาผลผลิตดิ่งตกเหวอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อนในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ

            ภาพที่ปรากฏชัด เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563 ได้มีชาวสวนปาล์มน้ำมัน 4 ภาคต่างประสานเสียงชู “น้าสน” หรือ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์”  ขวัญใจตัวจริงเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่กำลังประสบกับความยากจน  เนื่องเพราะการผลักดันนโยบายส่งเสริม B10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน ส่งผลดีต่อราคาปาล์มน้ำมันไต่ระดับขึ้นทุกวันๆละ 10-20 สตางค์จนทะยานถึง กก.ละกว่า 7 บาท

           ในวันนั้น นางจุติมา เจือกโว้น ผู้ช่วยฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดตรัง ระบายจากใจว่า  ตอนนี้ราคาปาล์มน้ำมันไม่เพียงแต่ในจังหวัดตรัง แต่ปรับสูงขึ้น ทั่วประเทศ อย่างสวนของตน 100 ไร่ มีผลผลิตไม่มากนัก ตัดขายได้ในราคา กก.ละ 7 บาท ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่ถึง 2 เดือนที่ กก.ละ 2 บาทเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนของเกษตรกรอยู่ที่ กก.ละ 3.80 บาท

        “ดิฉัน ที่ราคาปาล์มน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นเพราะนโยบายนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  มีนโยบายนำน้ำมันปาล์มไปผสมกับดีเซลทำเป็นน้ำมันดีเซล B10 ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น พอยิ้มได้บ้าง ตอนนี้ท่านสนธิรัตน์คือขวัญใจเกษตรกรชาวสวนปาล์มไปแล้วจริง” เสียงสะท้อนจากเกษตรส่วนปาล์มจาก จ.ตรังด้วยความภาคภูมิใจ

       ดุจเดียวกับ นายกิตติชัย ศูนย์จักร เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันใน อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร เล่าตอนนั้ว่า  ปลูกปาล์มคุณภาพใน จ.สกลนคร จนได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นสาขาทำสวนปาล์ม ก่อนหน้าราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันราคาตกต่ำ แต่วันนี้ราคาปาล์มน้ำมันมีราคาดีขึ้นขายได้ในราคา กก.ละ 6.80 บาท ทำเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ เพราะกระทรวงพลังงานมีนโยบายนำน้ำมันปาล์มไปผสมดีเซลทำเป็นน้ำมันเซล B10 ถือว่าเป็นนโยบายที่เดินทางมาถูกต้องแล้วและขอให้ทำต่อไป เพียงขอว่า ในฐานะตัวแทนเกษตรกรปลูกปาล์มทางภาคอีสาน ขอฝากถึงรัฐบาลช่วยดูแลราคาปาล์มภาคอีสานให้ขายได้เท่าๆ กับทางภาคใต้ด้วย เพราะทุกวันนี้ยังขายต่ำกว่าภาคใต้ประมาณ 1 บาท

       สอดคล้องกับ นางอรุณี ชีสังวรณ์ เลขาธิการสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจาก จ.สระบุรี ที่บอกว่ารู้สึกดีใจมากที่ราคาปาล์มน้ำมันปรับขึ้นวันละ ทำให้ราคาขยับมาอยู่ที่ กก.ละ 6.30 บาท วันนี้เกษตรกรยิ้มได้แล้ว และขอให้ราคาสูงขึ้นต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูปาล์มออกสู่ตลาดเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ที่จะถึงนี้  

       ขณะที่ นางวราภร อินต๊ะแสน เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน จาก จ.พะเยา สะท้อนให้เห็นว่า  ช่วงปี 61-62 ราคาปาล์มน้ำมันที่ภาคเหนือตกต่ำมาก ที่พะเยาขายกันอยู่ที่กก.ละ 1.70 บาทแต่ต้นทุนสูงเกือบ 3 บาท เมื่อขายไปก็ขาดทุน จึงได้หันมาทำเป็น B100 เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงรถไถ และเครื่องสูบน้ำ จนกระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบันได้มีนโยบายส่งเสริม  B10 ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันได้ขยับสูงขึ้นทันทีเกือบ กก.ละ 5 บาท

      “  ต้องขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากที่มีนโยบายสร้างรายได้เกษตรกรให้ดีขึ้น ตอนนี้ท่านได้เป็นขวัญใจเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่ยากจนทุกคน และขอฝากรัฐบาลดูแลตลาดให้มีราคาดีแบบนี้ต่อเนื่องตลอดฤดูใหม่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน นี้ เพื่อเกษตรกรจะได้ปลดหนี้ปลดสินกัน”นางวราภร กล่าว

        นี่เป็นเสียงสะท้อนจากใจจริงของตัวแทนเกษตรกรทั้ง 4 ภาคที่ผ่านสื่อต่างๆ ช่วงวันที่ 18-19 มกราคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา และเป็นที่ประจักอย่างชัดเจนว่า การขับเคลื่อนและผลักดันให้น้ำมัน B10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 โดยให้น้ำมัน B7 และ B20 ของนายสนธิรัตน์นั้น ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์ของรัฐบาลชุดนี้ เนื่องเพราะไม่เพียงจะให้ประเทศไทยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลต่อการลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือPM2,5  และwghตัวแถมที่ใหญ่หลวงนัก และใหญ่เกินความคาดหมาย คือเป็นการชุบชีวิตเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ที่กำลังจะล่มสลายเราะราคาผลผลิตตกต่ำ กลับฟื้นชีวิตมาได้อีกด้วย และดูเหมือนว่า ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันจะมีเสถียรภาพอีกยาวนาน เพราะ”น้าสน” ได้การันตีว่า “B10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน”เป็นนโยบายชาติ ไมมีการเปลี่ยนนโยบายแน่นอน