ขอดเกล็ดกลยุทธ์ “นักค้าความกลัว” จับตา 3 สารเคมีสงครามนี้ยังไม่จบ

  •  
  •  
  •  
  •  

ดลมนัส กาเจ

          เมื่อวันที่  17 ธันวาคม 2562 มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 42 ของสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดี-รังสิต กรุงเทพฯ และได้มีการจัดสัมมนา “ทางออกที่ยั่งยืนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทย”

       ประเด็นที่น่าสนใจ และได้ข้อคิดมากเสียที่เดียว อยู่ที่ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์  อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ที่สะท้อนเรื่อง  “ย้อนรอยขอดเกล็ดกลยุทธ์เอ็นจีโอไทยในฐานะนักค้าความกลัว” งานนี้ อ.เจษฎา ฉายภาพเห็นชัดเจนครับ อาทิ ที่เปรียบเทียบให้เห็นคือ .หนึ่ง-ขายความกลัว, สอง-เหมาเข่งความกลัว, สาม-พูดจริงครึ่งเดียว

      อ.เจษฎา ฉายภาพเห็นชัดๆ คือกรณีการแบน 3 สารเคมีเกษตร (พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพรีฟอส ) คือความสำเร็จสูงสุดของเอ็นจีโอ แต่สงครามยังไม่สงบ จึงอย่าเพิ่งนับศพทหาร

        “ต้องยอมรับ กลยุทธ์และยุทธวิธีของเอ็นจีโอน่าสนใจ เร้าใจ เช่น ยาฆ่าแมลง เท่ากับยาฆ่าคน กินข้าวถุงตายได้ ผักผลไม้แผงริมถนนจนถึงในห้างไม่ปลอดภัย แผ่นดินไทยอาบด้วยสารเคมี คือกระตุ้นต่อมความกลัว ตั้งแต่สารเคมียันอาหารเข้าปาก”

        ใชนช่วงที่มีการแบน 3 สารเคมีเกษตรช่วงนั้น  ทำให้คนบางส่วนนึกว่า ประเทศไทยมีสารเคมีเกษตรแค่ 3 ตัว หารู้ไม่ว่ามีเป็นร้อยชนิดที่ใช้ในภาคการเกษตร

        ด้าน คุณดุจเดือน ศศะนาวิน อดีตรองปลัดกระทรวงเกษตรฯ และอดีตเลขาธิการม กอช.ที่เติบโตอาชีพรับราชการในกระทรวงเกษตรมาตลอด บอกว่า การแบน 3 สารเคมีเกษตร เหมือนเด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว มันทะลุความเดือดร้อนของเกษตรกรเข้ายอดอกอุตสาหกรรมอาหารคน อาหารสัตว์ มากกว่าหมู ไก่ เป็ด ไปถึงอาหารสัตว์น้ำที่ใช้กากถั่วเหลืองทดแทนในสัดส่วนมากถึง 25% เนื่องจากปริมาณปลาป่นจากปัญหาIUUประมงลดน้อยลง

         ลองนึกดูในปีหนึ่งๆไทยนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวสาลี ราวๆ 7-8 ล้านตัน ถ้าแบนจริง ไม่รู้ใครจะแบนอย่างไร การที่ไทยเราจะแบน 3 สารเคมีเกษตร ก็ต้องแจ้งองค์การค้าโลกภายใน 60 วัน รับฟังความเห็นจากประเทศคู่ค้า และแน่นอนสุด เขาจะถามข้อมูลวิทยาศาสตร์กลับมา เราตอบไม่ได้ เขาก็ใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้าเป็นการแก้ลำไทย  ไม่มีใครบอกรัฐมนตรีคนสวย หรือบอกแล้ว แต่ฉันไม่ฟัง หรือไม่อย่างไร ลามไปถึงรัฐมนตรีว่าการด้วยที่คล้อยตาม

       ขณะที่ ศ.นพ.วินัย วนานุกูล ผู้อำนวยการศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี พูดตรงประเด็นแบบตรงตรงไปตรงมาว่า  กว่า 60% ของคนไข้ที่ได้รับพิษจากสารเคมีเกษตร ล้วนแต่จงใจใช้ฆ่าตัวตาย ส่วนอีก 30%อุบัติเหตุจากการถ่ายเทไปบรรจุขวดน้ำดื่ม แล้วแช่ตู้เย็น เด็กๆรับเคราะห์เยอะ และอีก 4% รับพิษ ขณะใช้สารเคมีทำงาน

       อันนี้ข้อมูลจากคุณหมอพูดครับ และคุณหมอวินัย ระบุชัดว่า ถ้าใช้มาตรการจำกัดการใช้ จะลดพิษภัยจากอุบัติเหตุได้ทันที 30%..ทำไมถึงไม่ทำ พอจะทำกลับให้แบนซะนี่!!

        เรื่องนี้ถ้าอยากฟังให้ละเอียด เปิดดูย้อนหลังได้ ที่เฟชบุคเพจของสมาคมวิทยาการวัชพืชฯได้ รับประกันสนุก ทั้งข้อมูล ตัวเลขและข้อเสนอทางออก คือแชร์ข้อมูล แชร์ความเห็น เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

        ที่แน่ๆว่ากันตรงไปตรงมา วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่มโนศาสตร์ ทีค่จะมาค้าความกลัว โดยสร้างจินตการ อย่าลืมว่าเกษตร คือวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่ต้องมีคำตอบที่เป็นวิทยาศสาตร์ และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยครับ !!