มีผลแล้ว!! พิษรัสเซียพร้อมปิดล้อมทะเลดำ ผู้เลี้ยงหมูโดนเต็มๆ วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับพุ่ง 10%

  •  
  •  
  •  
  •  

โดย…อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ

ผลพวงจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศเตือนเรือทุกลำที่เดินทางในทะเลดำไปยังท่าเรือของยูเครน ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเป้าหมายที่อาจขนส่งยุทโธปกรณ์ทางทหารทั้งหมด หลังรัสเซียไม่ต่ออายุข้อตกลงเปิดทางทะเลดำให้ขนส่งธัญพืชออกจากยูเครนได้อย่างปลอดภัย (Black Sea Grain Initiatives) ส่งผลราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นทันที 10% และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นต่อเนื่องซ้ำรอยเดิมปีที่แล้ว ที่วัตถุดิบปรับสูงขึ้นถึง 30% ทำให้ภาคปศุสัตว์โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกโดยเฉพาะข้าวสาลีปรับสูงขึ้นแล้ว 10% ขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับเพิ่ม 5% ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนอาหารสัตว์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 60-70% ของต้นทุนการผลิต ประกอบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ประสบปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่อง นับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนประทุเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และยืดเยื้อมาถึงขณะนี้ รวมถึงคาดการณ์ล่าสุด ว่า สภาพอากาศร้อนแล้งจาก ‘เอลนีโญ’ จะทำให้ผลผลิตจธัญพืชต่างๆ ลดลง  ซึ่งช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้น 25-30% สำหรับไทยต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละ 3 ล้านตัน เนื่องจากการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ส่วนการนำเข้าข้าวสาลี 5 เดือนแรกของปี 2566 มีการนำเข้ามาแล้วกว่า 900,000 ตัน คาดว่าทั้งปีจะมีนำเข้าประมาณ 1.8 ล้านตัน
นอกจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงตามตลาดโลกแล้ว ผู้เลี้ยงหมู ยังต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ 1.หมูเถื่อนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และ 2.ราคาหมูลดลงต่อเนื่องเพราะผลผลิตล้น ทำให้เกษตรกรอยู่ในภาวะยากลำบาก ตลอดจนมาตรการของภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งมาตรการเป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี (Tariff & Non-Tariff Barrier) ยิ่งเป็นการซ้ำเติมเพิ่มต้นทุนการผลิตของเกษตรกรทั้งสิ้น โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยและรายเล็ก จำเป็นต้องเลิกอาชีพไปจำนวนมากเพราะไม่สามารถแบกต้นทุนต่อไปได้อีก
ปัจจุบันราคาประกาศสุกรหน้าฟาร์มของกรมการค้าภายในสัปดาห์ที่ผ่าน (17-21 กรกฎาคม 2566) ปรับลง 4 บาทต่อกิโลกรัม อยู่ที่ 60.5 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตเดือนมิถุนายน 2566 ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติประกาศไว้ที่ 90.57 บาทต่อกิโลกรัม สวนทางกับราคาหน้าฟาร์มที่ปรับลดลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยเมื่อต้นปี 2566 อยู่ที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกษตรกรแบกรับภาระขาดทุนมามากกว่า 6 เดือนแล้ว
ที่ผ่านมา สมาคมภาคปศุสัตว์หลายสมาคม อาทิ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูง โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง ออกมาประสานเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายอาหาร ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ที่มีการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าระหว่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : ข้าวสาลี ในอัตรา 3:1 (ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน) และขอให้ยกเลิกภาษีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง 2% เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการผลิตและความต้องการในประเทศ
ปี 2566 คาดว่าภาคปศุสัตว์ต้องอยู่ในสถานะ “ปาดเหงื่อ” จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับสูงขึ้น จากการประกาศของรัสเซีย ซึ่งรัฐบาลควรพิจารณาแนวทางการช่วยลดภาระของเกษตรกร ด้วยการปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นตามกลไกตลาด (Demand-Supply) เพื่อสนับสนุนภาคการผลิตให้มีเงินทุนหมุนเวียนรักษากิจการไว้ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้การผลิตเนื้อสัตว์เดินหน้าได้ต่อเนื่องและเพียงพอสำหรับคนไทยทุกคน