แฉ!!..ขบวนการปั่นราคาหมู หวังซื้อของถูกจากเกษตรกรที่หน้าฟาร์ม

  •  
  •  
  •  
  •  

วงการอุตสาหกรรมหมูป่วน นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือแฉ มีขบวนการปั่นราคาปล่อยข่าวลวงด้านเดียว อ้างราคาหมูหน้าเคียงพุ่งถึง กกงละ 250 บาท ทั้งที่ความจริงไม่ถึง 200 บาท หวังกดดันให้คนเลี้ยงลดราคาหน้าฟาร์ม ชี้เป็นการซ้ำเติมเกษตรกร ย้ำหนุนภาครัฐที่จะให้ลดค่าครองชีพประชาชนต่อเนื่อง

        นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์    นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีขบวนการปั่นราคาหมู และให้ข้อมูลข่าวสารด้านเดียวว่า ราคาเนื้อหมูหน้าเขียงมีราคาสูงถึง 250 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อหวังให้เกิดกระแสสังคมและใช้หลักจิตวิทยา มากดดันให้เกษตรกรผู้เลี้ยงขายหมูมีชีวิตในราคาต่ำกว่าราคาประกาศของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รวมทั้งอาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝงอื่น อาทิ การหากำไรกับส่วนต่าง หรือเพื่อชี้เป้าให้พาณิชย์จังหวัดออกมาดูแลราคาหมูหน้าฟาร์ม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นราคาจำหน่ายไม่ได้สูงดังที่กล่าว ยกตัวอย่างในพื้นที่ภาคเหนือที่ขาดแคลนเนื้อหมูอย่างรุนแรง ราคาจำหน่ายเนื้อหมูในช้อปหรือร้านค้าจำหน่ายทั่วไปยังอยู่ที่กิโลกรัมละ 160 กว่าบาทเท่านั้น

       ที่สำคัญเกษตรกรยังคงแบกรับภาระต้นทุนที่สูงกว่า 98.81 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาขายเพิ่งจะแตะ 98-100 บาทต่อกิโลกรัม  ซึ่งเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จากผลพวกของปัญหาโรค ASF ในหมู และภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกด้าน รวมแล้วปรับขึ้นกว่า 30-40% ทั้งค่าการจัดการป้องกันโรคที่เข้มงวด ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น และอากาศแปรปรวนที่ส่งผลให้อัตราหมูเสียหายเพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบกับการผลิตหมูทั้งสิ้น

        นายสุนทราภรณ์ กล่าวอีกว่า ในขณะที่เกษตรกรยังต้องรับภาระขาดทุน และอยู่ในช่วงที่ยากลำบากที่สุดในอาชีพ กลับมีขบวนการปั่นราคารอล่วงหน้า ขบวนการนี้ได้ให้ข้อมูลและปั่นกระแสไว้ก่อนหน้าแล้ว ว่าราคาหมูหน้าเขียงขึ้นไป 250 บาท ทั้งๆที่ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มเพิ่งจะพ้นต้นทุนมาไม่กี่วัน และภาคผู้เลี้ยงทั่วประเทศยังคงให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในการดูแลค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน ด้วยการร่วมกันจัดจำหน่ายหมูเนื้อแดงในห้างโมเดิร์นเทรด จัดรายการอยู่ที่ราคา 150-160 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค

         ส่วนในช้อปจำหน่ายหมูและตลาดสดราคาอยู่ที่ 170-190 บาทต่อกิโลกรัม แตกต่างกันไปตามแต่อุปสงค์-อุปทานของแต่ละพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผลกับทุกฝ่าย ทั้งผู้เลี้ยง ผู้ขายหน้าเขียง และผู้บริโภค แม้ว่าเกษตรกรทุกคนจะมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงที่สูงมากขึ้นจากหลากหลายปัจจัย แต่ก็ยังคงช่วยกันประคับประคองไม่ให้กระทบกับผู้บริโภค ขอให้ประชาชนและภาครัฐเข้าใจ ขอให้กลไกตลาดทำงาน และเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาราคาดังเช่นที่ผ่านมา