บุกสวน“อะโวคาโด”ไม่น่าเชื่อ! ปลูกแซมน้อยหน่าโกยปีละหลายล้าน

  •  
  •  
  •  
  •  

บุกสวน“อะโวคาโด” ไม่น่าเชื่อ! ปลูกแซมน้อยหน่าโกยปีละหลายล้าน

โดย…หนึ่งฤทัย  แพรสีทอง

          จากอดีตที่เราเข้าใจว่า “อะโวคาโด” เป็นไม้เมืองหนาว เพราะเป็นไม้ผลจากต่างประเทศเวลาทดลองปลูกแรกจะเน้นพื้นที่สภาพอากาศหนาว ที่อยู่ที่สูง ดั่งที่พบเห็นมีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และเชียงรายเป็นหลัก แท้จริงแล้วอะโวคาโด บางสายพันธุ์สามารถปลูกที่ราบได้ อย่างเกษตรกรชาว อ.ปากช่อง จ.คราราชสีมา “สำเริง กลั่นกลิ่น” ก็สนใจจะปลูกอะโวคาโดมานานนับทศวรรษมาแล้ว โดยปลูกแซมในสวนน้อยหน่าเพชรปากช่อง บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ สร้างรายเงียบๆได้เป็นอย่างดี เพราะคนไทยเริ่มรู้สรรพคุณด้านโภชนาการของอะโวคาโดกันแล้วว่า มีประโยชน์มากมายกว่าที่เราคิด จนกลายเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

         สำเริง บอกว่า สนใจอะโวคาโดมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว และได้นำต้นมาทดลองปลูกที่สวน พบว่าเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดี ประกอบกับหลายสิบปีก่อน ทางสถานีวิจัยพืชสวนปากช่องก็ได้มีการนำพันธุ์อะโวคาโดมาทดลองปลูกเพื่อศึกษาวิจัยและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจมากเพราะตอนนั้นตลาดอะโวคาโดยังไม่เติบโต จึงเงียบหายไป แต่เขา ได้ไปนำพันธุ์อะโวคาโดจากสถานีวิจัยพืชสวนปากช่อง และไปหาพันธุ์จากโครงการหลวงทางภาคเหนือมาทดลองอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีต้นอะโวคาโดอยู่มากกว่า 500 ต้น ที่ปลูกแซมไว้ในสวนน้อยหน่าเพชรปากช่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นต้นอายุ 8-10 ปี และในแต่ละปีอะโวคาโด 500 ต้นทำเงินให้กับคุณสำเริงไม่น้อยเลยทีเดียว

           สำเริง บอกอีกว่า อะโวคาโดเป็นพืชที่มีอนาคต เพราะตลาดต้องการมาก จะเห็นได้จากตลอดระยะเวลาหลายปีที่เขาปลูก สร้างรายได้ดีมาก เพราะต้นหนึ่งจะให้ผลผลิตราว 300-500 กก. ทุกวันนี้ขยายพื้นที่ปลูกเกือบ 100 ไร่ รุ่นแรกอายุ 15 ปี 500 กว่าต้น ที่เหลือลดหลั่นกันลงมา 10 ปี 7 ปี 5 ปี ในแต่ละปีให้ผลผลิตหลายร้อยตัน  โดยจะมีแม่ค้าเข้ามาติดต่อซื้อถึงที่สวน เพิ่มขึ้นทุกปี ในราคาส่งหน้าสวน กกละ 25-30 บาท . ส่วนราคาขายปลีก กก.ละ 50-60 บาท/กก.

          “อะโวคาโดเป็นพืชที่ปลูกง่ายมาก อย่างของผมแทบไม่ต้องดูแลอะเลย  ผมปลูกแซมในสวนน้อยหน่าเพชรปากช่อง ใช้ระยะปลูกห่างกันระหว่างต้น  6 เมตร หลังปลูกก็ให้ปุ๋ยบ้าง 1-2 เดือนต่อครั้ง แต่ต้องให้น้ำสม่ำเสมอ หลังจากปลูก 3 ปี อะโวคาโดก็ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้แล้ว พออายุ 5-6 ปี ผลผลิตจะดกมากต้นหนึ่งได้ประมาณ 400-500 กก. และให้ผลผลิตประปรายตลอดทั้งปีด้วย  แต่จะดกมากๆในช่วงเดือน พฤษภาคม -.กันยายน” สำเริง กล่าว.

        ย้อนอดีตอะโวคาโด ถูกนำมาปลูกโดยโครงการหลวงที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริง จ.เชียงใหม่ เมื่อปี .2526 ปรากฏว่าผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี จึงนำมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นพืชสร้างรายได้ในพื้นที่เขตภาคเหนือเป็นหลักเนื่องจากอะโวคาโดเติบโตได้ดีในพื้นที่ภาคเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น โดยพันธุ์อะโวคาโดที่นำมาปลูกและให้ผลผลิตดีและได้รับความนิยมมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่

          1.พันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson) เป็นเผ่าเวสต์อินเดียน ลักษณะผลค่อนข้างกลม มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง น้ำหนัก 200-300 กรัม เนื้อผลสีเหลืองอมเขียว รสดีเมล็ดใหญ่อยู่ในช่องเมล็ดแน่น เป็นพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวผลได้ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่นิยมที่สุดและมีคุณสมบัติที่ดีค่ะ

          2.พันธุ์บูธ 7 (Booth-7) เป็นลูกผสมระหว่างเผ่ากัวเตมาลัน และเวสต์อินเดียนผลลักษณะค่อนข้างกลม ขนาดกลาง น้ำหนัก 300-500 กรัม ผิวผลขรุขระเล็กน้อยสีเขียว เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน รสดี เมล็ดขนาดกลาง มีไขมัน 7-14เปอร์เซ็นต์ ช่วงเก็บเกี่ยวผลประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม

           3.พันธุ์บูธ 8 (Booth-8) ลักษณะผลรูปไข่ ขนาดเล็กถึงกลาง น้ำหนักประมาณ 270-400 กรัม ผิวผลขรุขระเล็กน้อย สีเขียว เปลือกหนา เนื้อสีครีมอ่อนรสชาติพอใช้ มีไขมัน 6-12 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดมีขนาดกลางถึงใหญ่อยู่ในช่องเมล็ดแน่น ฤดูเก็บเกี่ยวประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม

          4.พันธุ์แฮสส์ (Hass) เป็นพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลก เป็นพันธุ์เผ่ากัวเตมาลัน ลักษณะผลรูปไข่ ผิวผลขรุขระมาก ผิวสีเขียว เมื่อสุกอาจเป็นสีเขียวเข้มหรือม่วงเข้ม ผลมีขนาดเล็ก น้ำหนัก 200-300 กรัม เนื้อผลสีเหลือง มีไขมันประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดมีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เก็บเกี่ยวผลได้ในเดือนพฤศจิกายนแต่พันธุ์แฮสส์ มีปัญหาหากความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตไม่ค่อยดี  


          อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาคนไทยไม่นิยมบริโภคอะโวคาโดเพราะเรามีทางเลือกในการบริโภคผลไม้อื่นๆมากมาย ประกอบกับคนไทยนิยมบริโภคผลไม้ที่มีรสหวาน กลิ่นหอมนุ่มนวลขณะที่อะโวคาโดมีรสชาติมัน ความอร่อยจึงน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นที่คนไทยคุ้นเคย แต่เมื่อนำมาวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารและเปรียบเทียบกับผลไม้อื่นพบ ว่า อะโวคาโดมีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น จึงถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ”

          เนื่องเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทำให้คนไทยหันมารับประทานกันมากขึ้น สำหรับประโยชน์ที่เด่นชัดนั้น ดังที่กล่าวไปมีไขมันที่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้ผิวของเรานั้นชุ่มชื่นมีน้ำมีนวล มีความจำเป็นสำหรับการบำรุงหัวใจเป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังช่วยให้ผิวมีสุขภาพแข็งแรงในการป้องกันแสงแดดช่วยในการสงเคราะห์ วิตามินดีจากแสงแดด มีสารอาหารที่สำคัญคือ กรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 สามารถที่จะกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและขยายหลอดเลือด มีส่วนในการบำรุงระบบประสาทและสมองให้ความจำดี โดยที่ไม่ต้องไปหาอาหารเสริมจากที่ไหน

          อะโวคาโดนั้นสรรพคุมาก อาทิ บำรุงสมองและป้องกันโรคสมองเสื่อม มีการค้นคว้าว่าการบริโภคอะโวคาโดอย่างสม่ำเสมอนั้นจะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม เพราะว่ามีกรดโอเลอิกสูงในอะโวคาโดช่วยรักษาเนื้อเยื้อซึ่งช่วยป้องกันระบบประสาทและสมอง จึงทำให้การทำงานของสมองมีความรวดเร็วและไม่เมื่อยล้าหากใช้สมองอย่างนัก

          ช่วยในการเผาผลาญระบบของร่างกายเพราะในอะโวคาโดมีเอ็นไซม์ที่ช่วยในการทำงานระบบย่อยอาหาร จึงเหมาะสมในการลดน้ำหนัก และช่วยให้ร่างกายมีความสดชื่น สดใส มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ อะโวคาโดนั้นมีโปรตีนที่สูง และมีกรดอะมิโนสำหรับร่างกายในการย่อยโปรตีนที่ดีขึ้น และช่วยให้ตับอ่อนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็งต่างๆ มีวิตามินอี ที่ต้อต้านอนุมูลอิสระทำให้ป้องกันเซลล์มะเร็งที่จะเกิดนั้นมีโอกาสเป็นน้อยลงได้

            การบริโภคอะโวคาโดจะ ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เพราะว่ามีสารที่สำคัญในการช่วยป้องกันและควบคุมการเต้นของหัวใจได้ดี ทำให้มีการไหลเวียนโลหิตที่ดี มีกรดโอเลอิกที่มีมากในผลอะโวคาโด, ป้องกันมะเร็งต้านม มีการศึกษาอีกเช่นเดียวกันว่ามี ลูทีน วิตามินอี และมีไขมันอิ่มตัวเชิงเดียวสูงในผลอะโวคาโด จึงช่วยให้ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะหญิงที่ผ่านการมีครรภ์มาแล้ว

           ส่วนผลอะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามิน E และมีแอนตี้ออกซิเดนท์ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและความงามของผู้หญิง นอกจากนั้นยังมี วิตามิน B1 , B2 , B6 , ไนอาซีน , โพแทสเซียม , กรดโฟลิก , ฟอสฟอรัส ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและบำรุงผิวให้เต่งตึง สดใส ไร้รอยเหี่ยวย่น

         ที่สำคัญอะโวคาโดสามารถทานและทำอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เป็นผลไม้ในสลัด , น้ำสลัดอะโวคาโด แยม ใช้รับประทานแทนพวกแตงไทย หรือว่าฟักทองทานกับน้ำกะทิ ทานกับไอศกรีม หรือเป็นส่วนผสมของไอศครีมอะโวคาโด หรือจะทานง่ายๆโดยโรยน้ำตาล น้ำผึ้งแล้วตักทานได้เลยก็อร่อยแล้ว ซึ่งตอนนี้นิยมทานแบบนี้ที่สุด

[adrotate banner=”3″]

              สนใจการปลูกอาโวคาโด และดูการปลูกแบบฉบับของ “สำเริง กลั่นกลิ่น” ที่ อ.ปากช่อง ในวันที่ 18 สิงหาคม 2561นี้ ชมรมสื่อเกษตรดิจิทัลและเอสเอ็มอีไทย จะพาไปชมและชิมอะโวกาโดถึงแปลงปลูกพร้อมกับสวนทุเรียนสวนใหญ่กว่า 10,000 ต้น สวนน้อยหน่าและเบญจมาศสวนใหญ่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 0897835887(หนึ่ง)