ลูกหลานคืนถิ่น “ดิลก ชมพูมิ่ง” ใช้ที่ 4 ไร่ ทำเกษตรผสมผสาน ชู “มูซังคิง” มั่นใจราคาไม่ตก เป้าได้ปีละ 4 ล้าน 

  •  
  •  
  •  
  •  

รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ “อัชฌา สุวรรณนิตย์” นำทีมลุวนเกษตรผสมผสาน ของเกษตรกรรุ่นใหม่วัย 31 ปี  “ดิลก ชมพูมิ่ง”  หนึ่งในเกษตรกร ที่ร่วม “โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร” เนรมิตเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งานที่บ้านแม่คำมี อ.หนองม่วงไข่ จ.แพร่ มาทำเป็นสวนเกษตรผสมผสาน เน้นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ ชูโรงทุเรียนพันธุ์มูซังคิง และไผ่กิมซุง ตั้งเป้าจะสร้างได้ปีละ 4 ล้านบาท

ที่จริง “ดิลก ชมพูมิ่ง”  ยังเป็นพนักงานฝ่ายขายอาหารสัตว์บก บริษัทธุรกิจเกษตรยักษ์ใหญ่ที่จ.สระบุรี มาตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีสาขาสัตว์ศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่  แต่มีแนวคิดอยากทำอาชีพเกษตรควบคู่ไปด้วย จึงไปซื้อที่ 4 ไร่ 2 งานที่บ้านแม่คำมี อ.หนองม่วงไข่ จ.แพร่ เป็นสวนเกษตรผสมผสาน ปลูกทุเรียนมาเลเซียพันธุ์มูซังคิง หรือเหมาซานหว่าน ไว้จำนวน 147 ต้น ส่วนไผ่กิมซุง จำนวน 110 ต้น พร้อมปลูกแซมด้วยพืชผัก สมุนไพรและไม้ผล อาทิ กล้วย น้อยหน่า มะม่วง ฝรั่งกิมจู ชมพู่ มะละกอแขกดำ พืชสมุนไพรและผักสวนครัว จำพวก ขิง ข่า ตะไคร้ ใบ้มะกรูด หวังให้มีรายได้ตลอดทั้งปี

สำหรับ พื้นที่ 4ไร่กับ 2 ไร่ “ตซื้อที่มาจากญาติ เดิมเป็นไร่ข้าวโพด(เลี้ยงสัตว์) ตอนหลังไม่มีใครทำก็ปล่อยทิ้งให้รกร้าง จึงซื้อต่อเพื่อเอามาทำสวนเกษตรผสมผสาน อย่างที่เห็นทุกวันนี้ตั้งใจมาทำเกษตรกรหลังเกษียณ มุ่งเป้าไปที่ทุเรียน ราชาแห่งผลไม้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นไม้ผลที่มีความต้องการของตลาดสูง โดยเฉพาะตลาดจีน

ส่วนที่เลือกปลูกทุเรียนพันธุ์มูซังคิง มองว่าตอนนี้ตลาดทุเรียนหมอนทองกำลังจะเริ่มจะถดถอย เพราะปลูกกันมาก ราคาก็เริ่มลง แต่มูซังคิงราคาไม่ตกเลย ตอนนี้ราคาหน้าสวนตกกิโล 500 บาท ผลผลิตออกมาเท่าไหร่ส่งออกหมด มาเลเซียทำตลาดไว้ให้แล้วส่งไปจีน ฮ่องกงและใต้หวันได้ราคาสูงมาก

”ทุเรียนพันธุ์มูซังคิง เมื่อเทียบกับทุเรียนสายพันธุ์อื่น ๆ มียังข้อดีที่ราคาไม่ตก เป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย ทนต่อโรค และเติบโตได้ดีในพื้นที่ราบเชิงเขา ที่มีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นอย่างจ.แพร่ ปลูกแค่ 4 ปีก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยปกติมูลซังคิงจะให้ผลผลิตเฉลี่ย 50 ลูก/ต้น โดยแต่ละลูกจะมีน้ำหนักเฉลี่ย 2.5 กิโลกรัม อย่างของผมที่ปลูก 2 รุ่น รุ่นแรกอายุ 3 ปีกว่าบางต้นเริ่มให้ผลผลิตบ้างแล้ว แต่ก็จะปลิดทิ้งให้เหลือต้นละ 2-3ลูก อีกรุ่นสองมีอายุเกือบ 2 ปีแล้ว  โดยที่ผมติดโซล่าเซลล์มาใช้ในการสูบน้ำเข้าสวน” ดิลก กล่าว

ส่วนรอบรอบสวน ดิลก ปลูกไผ่กิมซุงไว้เป็นแนวรั้ว เพื่อกันลมพัดทำลายต้นทุเรียน ทั้งยังป้องกันตลิ่ง เนื่องจากรากไผ่จะยึดดินไว้ป้องกันตลิ่งพัง ขณะเดียวกันผลผลิตหน่อไผ่ก็ยังสร้างรายได้ตลอดทั้งปีอีกด้วย ต่างจากไผ่หวานที่ให้ผลผลิตหน่อเฉลี่ยปีละ 2 เดือน ที่ออกมาตรงกับหน่อไม้ไผ่ป่าส่งผลทำให้ราคาจำหน่ายลดลง

นอกจากนี้ภายในสวนก็ยังปลูกพืชผัก สมุนไพร ผลไม้นานาชนิดเน้นพืชอายุสั้นที่สร้างรายได้รายวัน อาทิ ผักหวานป่า กล้วย น้อยหน่า มะม่วง ชมพู่ ฝรั่งกิมจู มะละกอแขกดำ พืชสมุนไพรและผักสวนครัว เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะเขือ พริก เป็นต้น โดยมีตลาดตลาดชุมชนอำเภอหนองม่วงไข่ รองรับผลผลิต อีกทั้งยังมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงหน้าสวนและบางส่วนจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย

เขา บอกถึงรายได้จากสวนแห่งนี้ว่า ได้วางแผนให้มีเงินหมุนเวียน และสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวตลอดทั้งปี ตั้งแต่ 3 เดือนแรก ซึ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายผักสวนครัว ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อเดือน ใน 1 ปีแรก มีรายได้จากการจำหน่ายกล้วย และพืชผักสวนครัว 2,000-3,000 บาทต่อเดือน และช่วง 1 ปีครึ่งถึง 4 ปี มีรายได้จากการขายหน่อไม้ กล้วย และพืชผักสวนครัว 7,000-9,000 พันบาทต่อเดือน ปัจจุบันทำเกษตรผสมผสานมาแล้ว 4 ปี คาดว่าถ้าทุเรียนให้ผลผลิต จะมีรายได้จากการจำหน่ายทุเรียน และหน่อไม้ประมาณ 30,000 – 70,000 บาทต่อเดือน

“ที่สวนจะไม่มีจ้างแรงงาน แต่จะให้พ่อแม่และญาติ ๆ ช่วยกันดูแลสวนทุเรียน ส่วนการปลูกไผ่ ผลไม้ พืชผักสวนครัวก็เพื่อให้พวกเขามีรายได้แทนที่จะจ้างแรงงานมาดูแลสวน ส่วนเราจะมุ่งเป้าที่ทุเรียนอย่างเดียว คาดว่าปีหน้าทุเรียนชุดแรกก็จะให้ผลผลิตแล้วจากนั้นต่อด้วยชุดที่สอง หากทุเรียนให้ผลผลิตทั้งสองชุด คำนวณจากราคามูซังคิงขั้นต่ำกิโลละ 200 คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาทต่อปี” เขา กล่าว

ล่าสุด นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมด้วยนายเฉลิมพล ชัยศิลบุญ สหกรณ์จังหวัดแพร่ และคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมแปลงเกษตรผสมผสานของเกษตรกรรุ่นใหม่ ภายใต้โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ไปที่แปลงเกษตรของ ”ดิลก ชมพูมิ่ง”  เพื่อให้คำแนะนำแนวทางการทำเกษตรแบบผสมผสาน การบริหารจัดการพื้นที่ ระบบน้ำและจัดการผลผลิตภายในสวน

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ นอกจากการสร้างขวัญและกำลังใจให้เกษตรกรมีความเชื่อมั่นในวิถีเกษตรกรรมอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ยังให้คำแนะนำองค์ความรู้ด้านการจัดการแปลงที่มิอาจประเมินค่าได้ ที่ดิลก ชมพูมิ่ง เกษตรกรรุ่นใหม่ ได้เริ่มต้นทำสวนเกษตรผสมผสานอย่างจริงจังเมื่อปลายปี 2562 ด้วยเหตุอยากมีรายได้เสริมควบคู่กับรายได้จากงานประจำ

อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ 2565 สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแพร่ ได้ดำเนินโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร มีเกษตรกรรุ่นใหม่สมัครเข้าร่วม จำนวน 38 ราย ซึ่งสำนักงานสหกรณ์จังหวัดแพร่ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีองค์ความรู้ด้านการผลิต สามารถสร้างอาชีพการเกษตรอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้เพื่อเกิดความมั่นคงในการประกอบอาชีพ มีเครือข่ายด้านอาชีพเพิ่มมากขึ้น เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแพร่มีการติดตามผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และขยายผลไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ต่อไป