“กรมเจรจาฯ” จับมือสภาเกษตรกรแห่งชาติ ชี้โอกาสส่งออกสินค้าเกษตรไทยด้วย FTA ช่วงโควิด

  •  
  •  
  •  
  •  

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จับมือสภาเกษตรกรแห่งชาติ ลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี เยี่ยมชมการวิจัยพัฒนาข้าวโพดราชินีทับทิมสยาม และข้าวกล้องอินทรีย์ สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรไทยขยายโอกาสโกอินเตอร์เพิ่มด้วย FTA  ”อรมน ทรัพย์ทวีธรรม” เผยวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาสของสินค้าไทยที่ส่งออกยอดพุ่งขึ้นหลายรายการ แนะผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าต้องการขยายตลาดในต่างแดนโดยอาศัยข้อตกลงการค้าเสรี ติดต่อที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กระทรวงพาณิชย์ได้

      นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 ณ จังหวัดสระบุรี ว่า การลงพื้นที่พบปะกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทยครั้งนี้ เพื่อหารือเตรียมความพร้อมสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทยในยุคนิวนอร์มอล โดยเฉพาะการพัฒนาจุดแข็งและความได้เปรียบของสินค้าเกษตรไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในช่วงวิกฤติโควิด-19

     สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้เยี่ยมชมการดำเนินงานและแปลงข้าวโพดพันธุ์ราชินีทับทิมสยาม ของบริษัท วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์ไทย จำกัด เพื่อหารือโอกาสทางการค้าของข้าวโพดราชินีทับทิมสยาม และการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมทั้งได้เยี่ยมชมแปลงนาและโรงสีข้าว ซึ่งพัฒนามาเป็นข้าวกล้องอินทรีย์จำหน่ายและส่งออกโดยบริษัท Nature Food Products and Marketing จำกัด

    “เราได้หารือเรื่องโอกาสการส่งออกของข้าวกล้องอินทรีย์และผลิตภัณฑ์การเกษตรอินทรีย์ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ซึ่งพบว่า แม้วิกฤติโควิด-19 จะส่งผลกระทบกับยอดขายในประเทศ แต่ยอดส่งออกไปต่างประเทศของข้าวกล้องอินทรีย์และข้าวโพดราชินีทับทิมสยามของบริษัทกลับขยายตัวเพิ่มขึ้น” นางอรมน กล่าว

      อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ  กล่าวอีกว่า กรมเจรจาฯ ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลและการสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการพัฒนาสินค้าเกษตรไทยให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและใช้ประโยชน์จาก FTA จึงได้มีโครงการจับมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ โดยในปีนี้ กรมฯ ได้ดำเนินโครงการร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติลงพื้นที่ในภาคอีสานตอนล่าง (บุรีรัมย์) และภาคกลางตอนล่าง (เพชรบุรี) แล้ว

      อนาคตอันใกล้นี้มีแผนที่จะลงพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง (พิษณุโลก) ในเดือนกันยายน นี้ ซึ่งจากการติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารที่เป็นประโยชน์กับสุขภาพและปลอดภัยจากโควิด จึงเป็นโอกาสดีของเกษตรกรไทย ที่จะพัฒนาสินค้าให้สนองความต้องการตลาด ประกอบกับความตกลงการค้าเสรี (FTA) 13 ฉบับ ที่ไทยทำกับ 18 ประเทศ เช่น อาเซียน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ได้ช่วยสร้างแต้มต่อในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยจากการที่ประเทศคู่เอฟทีเอได้ลดเลิกการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าที่ส่งออกจากไทยแล้ว ทำให้สินค้าไทยได้แต้มต่อเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

    ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปี 2563 ไทยขยับเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตร (พิกัด 01-24 รวมผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และยางพารา) อันดับที่ 9 ของโลก จากที่อยู่อันดับ 11 ในปี 2562 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทยไป 18 ประเทศที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย

     จะเห็นได้ว่าในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 2563) เป็น 13,117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 66.92 ของการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปทั้งหมดของไทยไปตลาดโลก