อิชิตัน สานต่อโครงการ “ชาคืนต้น” เป็นปีที่ 3 มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนเกษตรกรผู้ปลูกชาในพื้นที่ดอยพญาไพร อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
เพราะเห็นคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอันมีค่าของเกษตรกรผู้ปลูกชาชาวอาข่า บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จึงจัดทำโครงการส่งเสริมเกษตรกรในจังหวัดเชียงรายต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งมอบชาเขียวคุณภาพดีของชุมชนให้เดินทางสู่มือผู้บริโภค และเป็นอีกแรงผลักดันให้จังหวัดเชียงรายก้าวไปสู่การเป็น “นครแห่งชา” ระดับโลก
โครงการ “ชาคืนต้น” จัดขึ้นโดยบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนเกษตรกรผู้ปลูกชาในพื้นที่ดอยพญาไพร อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตใบชารายหลักของอิชิตัน สำหรับโครงการชาคืนต้นปีนี้ อิชิตันมุ่งเน้นให้ความรู้ด้านเกษตรออร์แกนิค โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่หาได้ในท้องที่มาผ่านกระบวนการเกษตรผสมผสาน ช่วยดูแลรักษาต้นชาให้เติบโตอย่างปลอดสารพิษ พร้อมสร้างองค์ความรู้ให้ชุมชนรู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ภายใต้ชื่อ “อาข่าคิด”
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ใบชาคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจของอิชิตัน เราปฏิบัติต่อชุมชนชาวเขาเผ่าอาข่าบนดอยพญาไพร ในฐานะหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของอิชิตันเสมอมา เราจัดทำแผนระยะยาวในการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนให้ดีขึ้น และกำลังสร้างแรงบันดาลใจในการต่อยอดผลผลิต เพื่อให้เขาสามารถสร้างรายได้จากทรัพยากรที่มีอยู่ สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการใส่ไอเดีย ดีไซน์ แต่คงไว้ซึ่งความเป็นชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เพื่อให้ชุมชนเรียนรู้แนวทางการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการทำเกษตรกรรมอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
โครงการชาคืนต้นยังได้เชิญบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาด้านเกษตรกรรมชา อาทิ ดร. ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ดร.เกริก มีมุ่งกิจ และอาจารย์พินิจ ภูมิแดง ปราชญ์เกษตรผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์ รวมถึงคุณลี อายุ จือปา เจ้าของแบรนด์ อาข่า อาม่า ชาวอาข่ารุ่นใหม่ผู้เปลี่ยนผลผลิตในพื้นที่ให้กลายเป็นแบรนด์ดังระดับโลก เข้าร่วมโครงการ
ดร. ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “พื้นที่ดอยพญาไพรมีทรัพยากรธรรมชาติและสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนดอยสูงทำให้อากาศและสภาพดินเหมาะสม ชาอาข่าจึงสามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าได้ด้วยการพัฒนาให้เป็นแหล่งปลูกชาออร์แกนิค ปัจจุบันปริมาณความต้องการชาอินทรีย์ทั่วโลกนั้นเพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้ผลิตชารายใหญ่ของโลก อาทิ จีน และ อินเดีย ยังไม่สามารถผลิตชาอินทรีย์ได้ตามปริมาณความต้องการ ดังนั้นการส่งเสริมการปลูกชาอย่างที่อิชิตันทำอยู่นี้จึงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง สิ่งสำคัญต่อไปคือการจับมือร่วมกันของกลุ่มของเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้จัดจำหน่ายให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมชาในประเทศ สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้จังหวัดเชียงรายเป็นนครแห่งชาและกาแฟระดับโลกภายในเวลา 5 ปี เพื่อดึงดูดทั้งผู้ดื่มชาและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ของชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต”
ดร.เกริก มีมุ่งกิจ ปราชญ์เกษตร หนึ่งในวิทยากรที่มาให้ความรู้ด้านเกษตรผสมผสานเพื่อการปลอดสารพิษ กล่าวว่า “ชาวอาข่าถือเป็นชนเผ่าที่น่าอิจฉา เพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อยู่รอบตัว และอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ลักษณะทางภูมิศาสตร์เหมาะ การนำความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์เข้ามาประยุกต์นอกจากช่วยประหยัดต้นทุนให้กับการปลูกชาในพื้นที่ได้ ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคในปัจจุบัน กระบวนการที่ใช้ก็ล้วนนำมาจากทรัพยากรที่หาได้ในท้องถิ่นนำมาดัดแปลงเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หรือการนำกิ่งไม้ที่ตกตามป่ามาเผาให้เกิดน้ำส้มควันไม้เพื่อใช้ไล่แมลงศัตรูพืช จนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารเคมีใดๆ
นายธงชัย ลาชี เกษตรกรผู้ปลูกชาชาวอาข่า กล่าวว่า “ชุมชนได้รับความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเกษตรกรรมชาจากอิชิตันอย่างต่อเนื่อง เราได้รับความรู้ทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิต การเพิ่มมูลค่า โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชนเผ่า รวมไปถึงการรักษาคุณภาพวัตถุดิบให้ได้มาตรฐานสากลที่จะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและตอบสนองความต้องการของตลาด เราทุกคนหวังว่า “ชาอาข่า” จะทำให้ผู้บริโภคได้ซึมซับวิถีชีวิต เรื่องราวจิตวิญญาณที่ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน จนทำให้ชาอาข่ามอบประสบการณ์ที่พิเศษกว่าการดื่มชาเขียวทั่วไปให้คนไทยทุกคนร่วมภูมิใจกับพวกเรา”