
ประธานคณะกรรมธการทรัพยากรธรรมชาติฯ วุฒิสภา หารือร่วมกับตัวแทนกรมประมง และเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบฯจาก 19 จังหวัด หาแนวทางปราบจากปลาหมอคางดำ หลังพบแพร่ระบาดฯลามถึงภาคตะวันออกจันทบุรี-ตราด และภาคใต้ที่สงขลาและปัตตานี “ชีวะภาพ ชีวะธรรม” ของขึ้น กร้าวไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ใหญ่เบอร์ไหน ถ้าหลักฐานว่าเป็นค้นเหตุต้องว่ากันในชั้นศาล
วันที่ 9 ธันวาคม 2568 นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภาเป็นประธานการประชุมเพื่อ พิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ โดยมีผู้แทนจากอธิบดีกรมประมง และตัวแทนเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ 19 จังหวัดเข้าร่วมชี้แจงให้ข้อมูล

นางสาวทิวารัตน์ เถลิงเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ด้านการประมงน้ำจืด กล่าวว่า ปัจจุบันพบการระบาดของปลาหมอคางดำใน 18 จังหวัด โดยมี ปริมาณความชุกชุมมากสุด เฉลี่ย 34 ตัวต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร ส่วนขอบเขตแนวกันชนขอพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดจันทบุรี-ตราดและจังหวัดสงขลา-ปัตตานี ในเดือนตุลาคม 2568 พบมีการแพร่กระจายของปลาหมอคางนำในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดตราดอำเภอสทิงพระและอำเภอสิงหนครของจังหวัดสงขลา ซึ่งเกิดจากคลื่นลมบริเวณชายฝั่งที่มีกำลังแรงพัดพาปลาหมอคางดำเข้ามาในบริเวณนี้
จากการติดตามปริมาณความชุกชุมของปลาหมอคางดำในพื้นที่แพร่ระบาดและเฝ้าระวังตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ถึงเดือนตุลาคม 2568 พบว่าปริมาณความชุกชุมส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลงจากเดิมที่แพร่ระบาดมากในปี 2567 ทั้งนี้ตั้งแต่วัน ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 25 พฤศจิกายน 2568 กรมประมง ได้ร่วมกับ ภาครัฐและเอกชนกำจัดปลาหมอคางดำ รวมทั้งสิ้น 7,440,171.50 กิโลกรัม โดยจัดโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง รวมทั้งสิ้น 1,181,436.50 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนนำส่งปลาหมอคางดำไปผลิตปลาป่นโดยเอกชนรับซื้อกิโลกรัมละ 15 บาท รวม ทั้งสิ้น 1,412,649 กิโลกรัม

ส่วนมาตรการ กำจัดปลาหมอคางดำโดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 25 พ.ย.68 ได้ปล่อยลูกพันธุ์ปลาผู้ล่าแล้วทั้งสิ้น 1,140,600 ตัว เช่น ปลากระพงขาว 414,500 ตัว ปลาอีกง 625,100 ตัว และปลาช่อน 58,000 ตัว เป็นต้น
นางสาวทิวารัตน์ กล่าวอีกว่า กรมประมงมีมาตรการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อทำให้ปลาหมอคางดำเป็นหมัน โดยการนำปลาหมอคางดำโครโมโซม 4 n ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำโครโมโซม 2 n (ปลาหมอคางดำปกติ) ซึ่งจะให้ลูกปลาหมอคางดำที่เป็นหมัน โดยเป็นวิธีที่นิยมในการควบคุมจำนวนสัตว์น้ำในการเพาะเลี้ยง
ด้านนายปัญญา โตกทอง ตัวแทนเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ 19 จังหวัด กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาโดยการรับซื้อปลาหมอคางดำกิโลกรัมละ 15 บาท แต่ต้องซื้ออย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปทำปลาป่น, ปลาร้าและปุ๋ย อีกทั้งจะต้องเร่งกำจัดปลาคางดำอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใช่ จับไปปล่อยไป ซึ่งจะต้องจับอย่างเด็ดขาดเพื่อให้ปลาหมอคางดำเบาบางแล้วจึงปล่อยปลานักล่าลงไป

“การแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องแก้อย่างเป็นระบบ แต่ทุกวันนี้เหมือนลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งพันตัวเองตกน้ำมา 10 กว่าปีแล้วก็ยังไม่เห็นทิศทาง แต่หากทำอย่างจริงจังเช่น ใส่งบประมาณลงมาเหมือนกับที่รัฐให้งบกำจัดผักตบชวา กว่าพันล้านบาท แต่ปลาหมอคางดำใช้งบกำจัดไม่กี่ร้อยล้านบาท” นายปัญญา กล่าวและว่า เกษตรกรยังจะได้รับประโยชน์ จากการที่รัฐรับซื้อซึ่งจะดีกว่านำงบไปลงคลองกำจัดปลาหมอคางดำครั้งละ 2 – 3 หมื่นบาท แต่ได้ปลาไม่กี่กิโลกรัม
ส่วนแทนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า พวกตนให้ความสำคัญกับโครงการ ทำหมันปลาหมอคางดำ ซึ่งจะต้องทุ่มงบประมาณและเร่งควบคุมประชากรให้ลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่แพร่ระบาดชุกชุม นอกจากนี้จะต้องเอาผิดผู้ที่นำเข้าและอนุญาตให้นำเข้าปลาหมอคางดำ แต่ทุกวันนี้พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมปี 2535 ยัง ไม่ สามารถ บังคับ ใช้ ได้ จริง เพราะทุกวันนี้ผู้ก่อให้เกิดมลพิษยังไม่ได้ชดใช้จริง จึงอยากให้ทางคณะกรรมการผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นคดีตัวอย่าง เพื่อไม่ให้ผู้นำเข้า และนายทุนคนอื่นๆลอยตัว

ชีวะภาพ ชีวะธรรม
ขณะที่นายชีวะภาพ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติฯวุฒิสภา ไม่ได้มีหน้าที่ไป ฟ้องร้องใคร แต่ยืนยันว่า ไม่ได้สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจว่าใหญ่เบอร์ไหน แต่ต้องมีข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจนโดยต้องเชิญ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัย ต่าง ๆ มาร่วมกันสำรวจวิจัยถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมว่ามีความเสียหายมากน้อยขนาดไหน
ทั้งนี้กลไกดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือในการ ฟ้องร้องและต่อสู้คดีในชั้นศาล ตามพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมปี 35 ซึ่งกรณีนี้อาจจะเป็นตัวเปิดเกมนำไปสู่การดำเนินคดี 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐตั้งแต่เกือบ 10 กว่าปีก่อน ส่วนการกำจัดปลาหมอคางดำ โดยการช็อตด้วยไฟฟ้าก็จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ แต่ต้องศึกษาผลกระทบทั้งในแง่กฎหมายและสิ่งแวดล้อมอย่างถี่ถ้วน.
