สทนช. จับตาพายุ “แมตโม” หวั่นถล่มภาคเหนือ – อีสาน – ตะวันออก 6 – 8 ต.ค. นี้ ยันคงไม่ซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 2554

สทนช. เฝ้าระวังพายุ “แมตโม” กระทบไทยทางอ้อม ช่วงวันที่ 6-8 ตุลาคมนี้ หารือหน่วยงานปรับแผนบริหารจัดการเขื่อนสิริกิติ์และภูมิพลให้ยืดหยุ่นในช่วงเร่งด่วน ด้วยการระบายน้ำรวมกันไม่เกิน 40-50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ด้านเขื่อนเจ้าพระยาจะปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มั่นใจจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอยกับมหาอุทกภัยในปี 2554
วันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ว่า ในระยะนี้ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า พายุ “แมตโม” จะส่งผลกระทบทางอ้อมทำให้ในช่วงวันที่ 6-8 ตุลาคมนี้ ประเทศไทยจะมีฝนตกปานกลางถึงหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
ประกอบกับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีฝนตกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนที่มีน้ำมาก เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อน โดยทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ เป็น 35 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน ในขณะที่เขื่อนภูมิพล ยังคงการระบายน้ำในอัตรา 5 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ในช่วงเร่งด่วน ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประสานกรมชลประทาน ปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยระบายน้ำรวมอยู่ในห้วง 40 – 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ หากต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้น
                                                                          ดนุชา พิชยนันท์
ขณะเดียวกัน เนื่องจากในช่วงนี้ปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนมีแนวโน้มลดลง กรมชลประทานจึงเตรียมปรับลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจาก 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,400 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งจะช่วยให้ระดับน้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อนลดลงประมาณ 20 – 25 เซนติเมตร ในส่วนการเตรียมการบริหารจัดการน้ำช่วงฝนตกหนัก จะดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อควบคุมการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำหน้าเขื่อนไม่เกิน +17 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมทั้งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อนเพิ่มมากขึ้นในอัตราเหมาะสมที่พื้นที่สามารถรองรับได้ โดยได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานประเมินผลกระทบจากพายุ “แมตโม” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ โดย สทนช. จะนำผลจากการประชุมครั้งนี้รายงานต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งจัดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้
ทั้งนี้ จากความกังวลของพี่น้องประชาชนว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยกับมหาอุทกภัยในปี 2554 นั้น สทนช. ขอยืนยันว่าสถานการณ์ในปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 อย่างแน่นอน เนื่องจากปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุทั้งโดยตรงและทางอ้อม และอยู่ภายใต้สภาวะลานีญา ทำให้ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าค่าปกติถึงร้อยละ 24 และขณะนั้น 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ รองรับน้ำได้เพียง 324 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ สูงสุด 4,689 ลบ.ม. ต่อวินาที ขณะที่การระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุดถึง 3,726 ลบ.ม. ต่อวินาที นำไปสู่อุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ ขณะที่ในปี 2568 แม้จะมีพายุหลายลูก แต่ทั้งหมดส่งผลทางอ้อมและมีทิศทางที่กระทบต่อไทยน้อยกว่า
อีกทั้งยังอยู่ภายใต้สภาวะเป็นกลางถึงสภาวะลานีญากำลังอ่อน ทำให้มีฝนโดยรวมไม่มากนัก โดยปัจจุบันปริมาณฝนเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติร้อยละ 7 รวมถึง 4 เขื่อนหลักยังรองรับน้ำได้อีก 2,185 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 ที่ 2,748 ลบ.ม. ต่อวินาที ระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที แม้จะมีแนวโน้มเกิดน้ำหลากเฉพาะพื้นที่จากฝนตกหนัก แต่ทุกหน่วยงานได้บูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด