เผยพริกไทยจากภาคตะวันออก ราคาพุ่งต่อเนื่อง ตลาดต้องการสูง

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สรุปราคาพริกไทยจากภาคตะวันออก ราคาดีต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักมาจากมีคุณภาพดี ได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ปริมาณผลผลิตลดลง คาด ผลผลิตปี 69 รวม 326 ตัน ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น

นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจสถานการณ์พริกไทยของประเทศ ซึ่งปลูกมากที่สุดในภาคตะวันออก คือ จังหวัดจันทบุรี ตราด ระยอง พบว่า ราคาที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยพริกไทยดำ  จังหวัดจันทบุรี ในปี 2568 (เดือนมกราคม – กันยายน) อยู่ที่ 270.36 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยปี 2567  ที่ 250 บาท/กิโลกรัม และราคาเฉลี่ยปี 2566 ที่ 227.10 บาท/กิโลกรัม

                                                                  ธัญธิตา บุญญมณีกุล 

ปัจจัยหลักมาจากการที่พริกไทยไทย มีคุณภาพดี ได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ปริมาณผลผลิตลดลง โดยในปี 2567 ตลาดโลกยังมีความต้องการสูง มีการบริโภคในประเทศ 6,321 ตัน/ปี มีปริมาณนำเข้า 6,938 ตัน/ปี มูลค่าการนำเข้า 1,596 ล้านบาท และมีปริมาณส่งออก 878 ตัน/ปี มูลค่าส่งออก 283 ล้านบาท

จากข้อมูลผลพยากรณ์การผลิตพริกไทย ปี 2569 (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2568) ว่า แม้ราคาจะดี แต่คาดว่า              จะมีเนื้อที่ยืนต้นรวมทั้งประเทศ 519 ไร่ ลดลงจากปี 2568 ที่มีจำนวน 549 ไร่ (ลดลง 30 ไร่ หรือร้อยละ 5.48)         และเนื้อที่ให้ผลรวม 514 ไร่ ลดลงจากปี 2568 ที่มีจำนวน 548 ไร่ (ลดลง 34 ไร่ หรือร้อยละ 6.20) สาเหตุหลัก    มาจากการที่เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลอื่นโดยเฉพาะทุเรียน เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า รวมถึงเกษตรกรส่วนใหญ่ที่ปลูกพริกไทยแซมในสวนทุเรียน เมื่อทุเรียนโตขึ้นและต้องการพื้นที่ดูแลเพิ่มขึ้น จึงต้องรื้อค้างพริกไทยออก

อย่างไรก็ตาม ผลผลิตรวมในปี 2569 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 326 ตัน จากปี 2568 ที่มีจำนวน 314 ตัน (เพิ่มขึ้น 12 ตัน หรือร้อยละ 3.82) เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกและติดผล ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาต้นพริกไทยเป็นอย่างดี ไม่มีเชื้อราและศัตรูพืชมารบกวน ทำให้ผลผลิตต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยวสูงถึง 634 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่ 573 กิโลกรัม/ไร่ (เพิ่มขึ้น 61 กิโลกรัม/ไร่ หรือร้อยละ 10.65)

ทั้งนี้ เกษตรกรต้องใช้ระยะเวลาเพาะปลูกพริกไทย 3 ปี จึงจะเริ่มให้ผลผลิต และสามารถให้ผลผลิตได้ ปีละครั้ง แต่ต้องเก็บเกี่ยวทีละหลายรอบจนหมดต้น เนื่องจากช่อพริกไทยบนต้นจะไม่สุกพร้อมกันทั้งหมด จึงต้องทยอยเก็บประมาณ 3 – 4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 7 – 10 วัน โดยผลผลิตพริกไทยในปี 2569 จะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนมกราคม-เมษายน 2569 และจะออกมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2569 ที่ประมาณร้อยละ 49.13

นางธัญธิตา กล่าวอีกว่า แม้พื้นที่ยืนต้นพริกไทยจะลดลง แต่ด้วยปัจจัยด้านผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการของตลาดโลกที่ยังคงเติบโต ทำให้พริกไทยมีศักยภาพที่จะกลายเป็น พืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกรไทย และช่วยเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของประเทศในอนาคต โดยยังมีการส่งเสริมที่หลากหลาย ได้แก่ การสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกในพื้นที่ศักยภาพ การส่งเสริมการผลิตตามมาตรฐาน GAP เพื่อคุณภาพและความปลอดภัย

การสนับสนุนการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์พื้นถิ่นและสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการปลูก การจัดการน้ำ การดูแลโรคและศัตรูพืช รวมถึงการจัดฝึกอบรมและรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด เพื่อเปิดโอกาสและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างแท้จริง