กรมส่งเสริมการเกษตร มุ่งขับเคลื่อนจังหวัดพะเยาให้ก้าวสู่การเป็น “เมืองกาแฟ” ของภาคเหนือ เน้นส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) เพื่อเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร ลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างอัตลักษณ์สินค้ากาแฟท้องถิ่นที่สามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า จังหวัดพะเยามีพื้นที่ปลูกกาแฟรวม 2,034 ไร่ ผลผลิตกาแฟเชอรี่ 967 ตัน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ใจ อำเภอเชียงคำ และอำเภอปง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 450–1,100 เมตร เหมาะสมต่อการผลิตกาแฟคุณภาพ และยังมีพื้นที่ที่ต้องการขยายผลเพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนในอนาคต
สำหรับการสนับสนุนต้นพันธุ์กาแฟ จำนวน 21,000 ต้น ภายใต้ “โครงการส่งเสริมและสร้างการรับรู้การผลิตกาแฟภาคเหนือ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน” ที่ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดพะเยา นอกจากจะช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงพันธุ์กาแฟคุณภาพและองค์ความรู้ด้านการผลิตแล้ว ยังเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การแปรรูป และการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงกาแฟ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดแนวทางส่งเสริมการผลิตกาแฟในจังหวัดพะเยา ดังนี้ ส่งเสริมการใช้พันธุ์กาแฟคุณภาพและเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม ถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาทักษะการผลิต การแปรรูป และการพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟใหม่ ผลักดันการสร้างแบรนด์ “กาแฟพะเยา” ให้เป็นที่รู้จักในตลาดทั้งในและต่างประเทศเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงกาแฟ รวมถึงสนับสนุนการผลิตที่สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบสากล เช่น EUDR
การดำเนินงานดังกล่าว ไม่เพียงช่วยลดการนำเข้ากาแฟ แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตอบโจทย์ตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการผลิตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่เกษตรกร และยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่น ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับการปรับตัวต่อ Climate Change และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
กรมส่งเสริมการเกษตรยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อน “พะเยา เมืองกาแฟ” ให้เป็นต้นแบบการพัฒนากาแฟคุณภาพของประเทศไทย สร้างคุณค่าใหม่แก่เกษตรกร เศรษฐกิจ และสังคมไทยอย่างมั่นคง
และยั่งยืน.-