ครองศักดิ์ สงรักษา
ชุมชนบ้านละมอ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง เป็นพื้นที่ที่อยู่คู่กับการปลูกพริกไทยปะเหลียนมาอย่างยาวนาน เกษตรกรเกือบทุกหลังคาเรือนมีการเพาะปลูกพริกไทยปะเหลียนื เพื่อนำมาใช้ในบริโภคในชีวิตประจำวัน แต่เนื่องด้วยรสชาติของพริกไทยปะเหลียนในพื้นที่ อันเป็นเอกลักษณ์ ผลสุกจะมีรสอมหวาน มีกลิ่นหอม และมีความเผ็ดในระดับปานกลาง เหมาะแก่การนำไปประกอบอาหาร ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยมา จึงยกให้เป็นพริกไทยอัตลักษณ์ของจังหวัดตรัง
นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรเล็งเห็นถึงศักยภาพของพื้นที่ จึงได้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน และยกระดับสู่การเป็นแปลงใหญ่พริกไทย ในปี 2565 ซึ่งประกอบไปด้วยเกษตรกร จำนวน 30 ราย พื้นที่ปลูกประมาณ 12 ไร่ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรเพิ่มขีดความสามารถใน 5 ด้าน คือ 1. ลดต้นทุนการผลิต 2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 3. พัฒนาคุณภาพ 4. เพิ่มช่องทางการตลาด และ 5. การบริหารจัดการ
ในปัจจุบันกรมส่งเสริมการเกษตรยังคงยกระดับแปลงใหญ่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพริกไทยพื้นบ้านละมอ ตำบลละมอ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง อย่างต่อเนื่องด้วยการจัดทำโครงการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานและบริการมูลค่าสูง ปี 2568 โดยได้มีการวิเคราะห์ Pain Point/Gain Point ร่วมกับกลุ่มเกษตรกรเพื่อให้ทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อรายได้รวมถึงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน พร้อมขับเคลื่อนให้กลุ่มเกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย 3 เท่าใน 4 ปี โดยประกอบไปด้วยกิจกรรม ดังนี้
1. การจัดทำแปลงทดสอบกระบวนการปลูกพริกไทย โดยได้มีการศึกษาเปรียบเทียบการปลูกพริกไทยระหว่างเสาค้างจากต้นไม้ธรรมชาติกับการใช้เสาค้างปูนเพื่อให้ต้นพริกไทยยึดเกาะ มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใช้สารชีวภัณฑ์ ถ่านไบโอชาร์ พร้อมทั้งการวางระบบน้ำที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นพริกไทย เพื่อให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ ปรับปรุงวิธีการปลูก การดูแลรักษาต้นพริกไทย ร่วมกันภายในชุมชน
2. สนับสนุนให้เกษตรกรอนุรักษ์พันธุ์พริกไทยพื้นบ้าน และขยายพื้นที่ปลูกเพื่อซ่อมแซมในส่วนที่เสียหายจากภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังมีการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน
3. สนับสนุนการแปรรูปเป็นพริกไทยแห้งด้วยการสร้างจุดตากพริกไทย เพื่อให้เกษตรกรสามารถลดระยะเวลาในการตาก/แปรรูปให้น้อยลง
4. สนับสนุนการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ โลหะหนัก และคุณค่าทางโภชนาการ พบว่า ผลผลิตพริกไทยมีปริมาณสาร Pipeline อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่พบการปนเปื้อนของโลหะหนักในผลผลิต อีกทั้งยังพบกรดไลโนเลอิกที่มีส่วนช่วยในการป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลสะสมในผนังหลอดเลือด เพิ่มการเผาผลาญไขมันอิ่มตัว กระตุ้นการทำงานของต่อมต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาพริกไทยเป็นผลิตภัณฑ์ต่อไปในอนาคต
จากการดำเนินงานในปี 2568 กลุ่มเกษตรกรได้เห็นถึงแนวโน้มความต้องการผลผลิตพริกไทยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแต่เดิมผลผลิตพริกไทย (แห้ง) มีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 350 บาท เพิ่มสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 500 บาท จึงได้มีการขยายพื้นที่ปลูกเพื่อให้มีปริมาณผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีรายได้เสริมจากการจำหน่ายต้นพันธุ์พริกไทย และผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น ยาดม น้ำมันนวด ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2567 มากกว่า 2 เท่า ทั้งนี้ เกษตรกรยังคงพัฒนาต่อยอดด้วยการสร้างแบรนด์ ขยายพื้นที่การรับรองการเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และการคัดเกรดพริกไทย ดำ – ขาว – แดง ต่อไป