“วันนี้ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ ต่อยอดความสำเร็จของโครงการธนาคารน้ำใต้ดินทั้งสองหมู่บ้าน สู่สถานประกอบการของบริษัทอีก 8 แห่ง ทั้งที่ ฟาร์มสุรินทร์ ฟาร์มยโสธร ฟาร์มจอมทอง ฟาร์มวังชมภู ฟาร์มอุดมสุข ฟาร์มราชบุรี รวมถึงที่โรงชำแหละสุกรจันทบุรีและยโสธร ให้หันมากักเก็บน้ำไว้ใช้เอง ลดการพึ่งพาน้ำดิบจากธรรมชาติ”
ในวันที่สภาพอากาศสุดขั้วกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ของโลก “น้ำ” กลายเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของเกษตรกรไทย ฝนตกหนักจนน้ำท่วม หรือฝนแล้งจนไม่มีน้ำทำการเกษตร ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้หลายชุมชนเริ่มมองหาแนวทางบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน หนึ่งในแนวคิดที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นคือ “ธนาคารน้ำใต้ดิน” ระบบกักเก็บน้ำธรรมชาติที่ช่วยลดความเสี่ยงจากทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง เปลี่ยนวิธีคิดจาก “รอฝน” เป็น “เก็บน้ำ” และส่งต่อโอกาสให้การเกษตรเดินหน้าได้อย่างมั่นคง
ภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เล่าว่า เมื่อปี 2564 หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าของเรา มีปัญหาภัยแล้งซ้ำซากอย่างหนัก ทำให้ต้องซื้อน้ำมาใช้ในการเลี้ยงหมูและปลูกพืช แต่พอฝนตกหนัก กลับมีปัญหาน้ำท่วมขัง จึงต้องหาแนวทางแก้ปัญหา จนพบแนวคิด “ธนาคารน้ำใต้ดิน” ซึ่งเป็นระบบเติมน้ำฝนหรือน้ำส่วนเกินในฤดูฝน ลงไปเก็บในชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดิน เหมือนการออมทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ยามจำเป็น เราจึงเริ่มทำโครงการนับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมขังอีกเลย
โครงการเริ่มต้นด้วยการร่วมมือกันของเกษตรกรในหมู่บ้านฯ และทีมงานซีพีเอฟที่เป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุนหมู่บ้านฯ มาตลอด 48 ปี ควบคู่กับการถ่ายทอดความรู้อย่างลึกซึ้ง จากสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ โดยผนวกความรู้ทางธรณีวิทยา การไหลของน้ำ และแนวคิดพึ่งพาตนเอง จนสามารถพัฒนาระบบธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งแบบเปิดและแบบปิดได้อย่างครบวงจร ช่วยหล่อเลี้ยงทั้งการเลี้ยงหมูและการปลูกพืชซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชนได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่น้ำที่เพียงพอ แต่ยังช่วยลดต้นทุนค่าน้ำได้ถึงปีละ 1 ล้านบาท แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง น้ำเน่าเสีย เพิ่มความชุ่มชื้นในดิน ยกระดับสุขอนามัยในชุมชน จนทำให้หมู่บ้านฯ แห่งนี้กลายเป็น “ศูนย์เรียนรู้ธนาคารน้ำใต้ดิน” ที่หลายชุมชนเข้ามาศึกษาและนำไปปรับใช้
จากความสำเร็จของหนองหว้า ที่เป็นต้นแบบของการ “ฝากน้ำไว้กับดิน” ขยายผลสู่ หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขังในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำหน้าแล้งมายาวนาน
ขณะที่ พิเชษฐ์ ใหญ่แก่นทราย ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร บอกด้วยว่า ชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น และซีพีเอฟ ร่วมมือกันภายใต้แนวคิด “ขีด คิด ร่วม ข่าย” ริเริ่มโครงการธนาคารน้ำใต้ดินอย่างเป็นระบบ โดยศึกษาดูงานจากหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ไปจนถึงการขุดบ่อธนาคารน้ำแบบเปิดและปิดภายในพื้นที่ รวม 10 บ่อ ชาวชุมชนสามารถนำพื้นที่เดิมที่ถูกน้ำท่วมขังกลับมาใช้ประโยชน์ทางเกษตรได้มากกว่า 50 ไร่ มีน้ำใช้ในการเลี้ยงหมูและปลูกพืชได้ตลอดปี พร้อมต่อยอดสู่โครงการ “1 บ้าน 1 บ่อ” ให้ครอบคลุมครบ 40 ครัวเรือนภายในปี 2569
ที่นี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดการน้ำ แต่ยังพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ ที่เปิดให้ชุมชนอื่นๆ เข้ามาศึกษาดูงาน ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่ หน่วยงานท้องถิ่น และเกษตรกรจากทั่วประเทศ สิ่งที่น่าทึ่งไม่ใช่แค่เทคโนโลยีหรือโครงสร้างของบ่อธนาคารน้ำ แต่คือ “กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน” ที่ทำให้คนในชุมชนเชื่อมั่นว่า พวกเขาสามารถดูแลทรัพยากรของตนเองได้จริง
วันนี้ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ ต่อยอดความสำเร็จของโครงการธนาคารน้ำใต้ดินทั้งสองหมู่บ้าน สู่สถานประกอบการของบริษัทอีก 8 แห่ง ทั้งที่ ฟาร์มสุรินทร์ ฟาร์มยโสธร ฟาร์มจอมทอง ฟาร์มวังชมภู ฟาร์มอุดมสุข ฟาร์มราชบุรี รวมถึงที่โรงชำแหละสุกรจันทบุรีและยโสธร ให้หันมากักเก็บน้ำไว้ใช้เอง ลดการพึ่งพาน้ำดิบจากธรรมชาติ
โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งที่หนองหว้า กำแพงเพชร รวมถึงฟาร์มและโรงชำแหละของซีพีเอฟ สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีราคาแพง แต่เป็นการผสานพลังของชุมชน ภาคเอกชน และองค์ความรู้ท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ธนาคารน้ำใต้ดินจึงไม่ได้เป็นแค่บ่อเก็บน้ำใต้ดิน แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการ “คิดอย่างเป็นระบบ ทำอย่างมีส่วนร่วม และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” ที่ช่วยให้ชุมชนมีทรัพยากรน้ำเพียงพอ รองรับวิถีชีวิตเกษตรกรรม และสร้างความมั่นคงทางน้ำในระยะยาว เพราะการฝากน้ำไว้กับดิน คือการวางรากฐานเพื่อความมั่นคงในอนาคต