ซีพีเอฟ โกยกำไรไตรมาส 2 ปีนี้เกือบ 7,000 ล้านโต 10 เท่า ส่วนใหญ่มาจากกิจการในต่างแดน

  •  
  •  
  •  
  •  

ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 ของ “ซีพีเอฟ” พลิกกลับเกินคาด กำไรสุทธิ 6,925 ล้านบาท เติบโต 973% หรือ 10 เท่า เผยกิจการต่างประเทศผลักดันการเติบโต ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลทันทีจำนวน 0.45 บาทต่อหุ้น
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รายงานรายได้จากการขายสำหรับไตรมาส 2 จำนวน 149,498 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากกิจการในต่างประเทศที่คิดเป็น 64% ของรายได้รวม กิจการประเทศไทย 30% และกิจการส่งออกจากประเทศไทยคิดเป็น 6% มีกำไรสุทธิจำนวน 6,925 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปีนี้เพิ่มขึ้น 973% หรือ 10 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีก่อน โดยหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นและส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ดีขึ้น
ปัจจัยหลักที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 15% ในปีนี้ เป็นผลมาจากต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ที่ลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น และการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ประกอบกับราคาสุกรทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและกัมพูชาอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับสมดุลของปริมาณการผลิตจากภาวะเนื้อสัตว์ล้นตลาด และภาวะโรคระบาด ASF ในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าจำนวน 3,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 475% เป็นผลหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทร่วมที่ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์และสุกรในสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ระดับราคาสุกรอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน  และผลการดำเนินงานของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่ดีขึ้น
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ว่าเป็นการพลิกฟื้นของธุรกิจซีพีเอฟกลับสู่สภาวะปกติ หลังจากปีที่แล้วที่บริษัทผ่านความท้าทายมากมายไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และภาวะสินค้าล้นตลาดของปริมาณเนื้อสัตว์ในหลายประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ให้ความสำคัญด้านการประเมินสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภค และที่สำคัญ คือ เรื่องประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ เพื่อให้บริษัทมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด รวมทั้งสามารถผลิตสินค้าในระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปีนี้ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้  จากผลการดำเนินงานในต่างประเทศที่ดีเกินคาดการณ์ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและกัมพูชา รวมทั้ง บริษัทร่วมที่ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์และสุกรในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากประสิทธิภาพการเลี้ยงที่ดีขึ้น ทำให้ต้นทุนในภาพรวมลดลง ประกอบกับระดับราคาสุกรที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี ในภาพรวมยังคงมีความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ บริษัทจึงยังมีความระมัดระวังในการลงทุน พัฒนาด้านนวัตกรรมความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงเตรียมความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการค้าให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้น และยังคงมุ่งมั่นดำเนินการสู่ เป้าหมาย Net-Zero ในปี 2050 อย่างเต็มที่
คณะกรรมการซีพีเอฟได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกปีนี้จำนวน 0.45 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 46 ของกำไรสุทธิงวดหกเดือนแรกของปี 2567 โดยมีกำหนด Record Date วันที่ 30 สิงหาคม (XD วันที่ 29 สิงหาคม) และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 13 กันยายน 2567 นี้