“เนสกาแฟ”ตอกย้ำเจตนารมณ์สร้างอนาคตวงการกาแฟไทยด้วยกลยุทธ์ “NES” ควบคู่กับส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน

  •  
  •  
  •  
  •  

“เนสท์เล่” ตอกย้ำเจตนารมณ์ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้วงการกาแฟไทยภายใต้แบรนด์เนสกาแฟ ด้วยกลยุทธ์ 3 ด้าน  “NES” เน้น “การพัฒนาเนสกาแฟให้เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาล-มอบประสบการณ์การดื่มด่ำกาแฟสุดพิเศษ- การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน” ขณะที่ปีหน้าทุ่มอีก 620 ล้านบาท เดินหน้าเสริมแกร่งธุรกิจเนสกาแฟผ่านการนำเสนอภาพลักษณ์แบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจ  ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด และส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน หลังพบว่าไตรมาสแรกปีนี้ตลาดกาแฟในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง มีความต้องการบริโภคกาแฟที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตเมล็ดกลับลดลง ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเกษตรกรการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ทำให้จำเป็นต้องมีการนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มมากขึ้น คาดว่าในปี 2539 ผลผลิตเมล็ดกาแฟทั่วโลกอาจลดลงถึง 50% 

นายโจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ในฐานะผู้นำตลาดกาแฟ เนสกาแฟจะสานต่อบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับวงการกาแฟไทย เรามุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเนสกาแฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีผลผลิตเมล็ดกาแฟในระยะยาวที่เพียงพอ เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค เกษตรกรที่เราทำงานเคียงข้าง รวมถึงพันธมิตร คู่ค้า และประเทศไทยโดยรวม

โจโจ้ เดลา ครูซ

ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว กลยุทธ์ของเนสกาแฟในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ 3 ด้านหลัก ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นกลยุทธ์ “NES” ได้แก่ N: NESCAFÉ Brand การพัฒนาเนสกาแฟให้เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า E: Experience มอบประสบการณ์การดื่มด่ำกาแฟสุดพิเศษ ผ่านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ และ S: Sustainability การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์

ทั้งนี้ เนสกาแฟจะมุ่งพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ผ่านการเกษตรเชิงฟื้นฟู หรือ Regenerative Agriculture ภายใต้โครงการ “เนสกาแฟ แพลน 2030” ซึ่งเป็นโครงการด้านความยั่งยืนระดับโลกของเนสกาแฟ การเกษตรเชิงฟื้นฟูจะช่วยให้เกษตรกรพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ

“ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ความทุ่มเทของเราในการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟูทำให้เนสกาแฟเป็นแบรนด์ที่มีการปลูกและจัดหาเมล็ดกาแฟอย่างยั่งยืน (Responsible Sourcing) 100% ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน 4C (Common Code for the Coffee Community) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในระดับโลก เพื่อการันตีว่าเมล็ดกาแฟของเราปลูกขึ้นตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลก ทำให้เราสามารถนำเสนอกาแฟคุณภาพสู่ผู้บริโภคชาวไทย” นายโจโจ้ กล่าว

นอกจากนี้ เนสกาแฟยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าโดยตรงจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งปัจจุบันมีจุดรับซื้อ 2 แห่งใน จ.ชุมพรและระนอง โดยอิงจากราคากาแฟในตลาดโลก เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรและสร้างความเชื่อมั่นว่าผลผลิตของพวกเขาจะมีตลาดรับซื้อที่ไว้วางใจได้ พร้อมกันนี้ในปีหน้าจะมีการลงทุนเพิ่มอีก 620 ล้านบาทเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟยั่งยืน ชูการเกษตรเชิงฟื้นฟู ควบคู่การสนับสนุนเกษตรกรไทยทุกมิติ

ทาธฤษ กุณาศล

ด้านนายทาธฤษ กุณาศล ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ภาวะโลกเดือดส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมที่เหมาะสำหรับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่เดิม เนื่องจากดินเสื่อมโทรมและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟของประเทศลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ตามจากการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรในการให้ความรู้และการสนับสนุนด้านเทคนิคในการทำสวนกาแฟอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการผนึกความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย หรือ GIZ ในการจัดทำหลักสูตร Farmer Business School ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีแนวคิดของผู้ประกอบการเกษตรกรรม นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้การสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย เพื่อส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงฟื้นฟูในสวนกาแฟให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาต้นกล้ากาแฟที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในประเทศไทย และได้กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีเหล่านี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วเกือบ 4 ล้านต้น

เกษตรกรยืนยันอาชีพปลูกกาแฟเลี้ยงครอบครัวได้ รายได้ดี

สุดใจ คำยอด

ขณะที่นายสุดใจ คำยอด เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากจังหวัดชุมพร กล่าวว่า ปลูกกาแฟมาเกือบ 38 ปี ยอมรับว่าในมีช่วงเวลาหนึ่งที่เคยท้อแท้จากผลผลิตที่น้อยลงและไม่ได้คุณภาพ ทำให้คนอื่นเลิกปลูกกาแฟไป กระทั่งปี 2556 ทางเนสท์เล่ได้ส่งนักวิชาการเกษตรมาช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการปลูกกาแฟแทบจะทุกด้าน รวมทั้งหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู จนผลผลิตกลับมาดีขึ้น ถ้าไม่มีเนสท์เล่ในวันนั้น ตอนนี้ชุมพรอาจไม่มีกาแฟเหลือแล้ว ยิ่งตอนนี้โลกร้อนขึ้นด้วย อากาศร้อนมาก แล้งด้วย น้ำไม่พอใช้ กาแฟได้น้ำไม่พอ ทำให้สัดส่วนผลผลิตที่จะได้เพิ่มขึ้นมีปริมาณลดลง

“สวนของเราใช้แนวทางของเนสท์เล่ ก็ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนอื่น ๆ เรียกได้ว่าเนสท์เล่ได้เข้ามามีส่วนช่วยทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างยั่งยืน จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรให้หันมาใช้หลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูเพื่อผลผลิตที่ดีอย่างยั่งยืนนอกจากการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังสอนเทคนิคการเสียบยอดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่า ส่วนต้นกล้าที่ได้รับจากเนสท์เล่ก็ให้ผลผลิตที่ดี เมล็ดใหญ่ และทนแล้ง รวมทั้งยังมาช่วยวิเคราะห์สภาพดิน เพื่อใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม ทำให้สวนของผมไม่ทระทบ ผมยืนยันว่า การทำสวนแก่ดีกว่าพืชอย่างอื่นโรคน้อย อย่างปัจจุบันมีพันธุ์ใหม่ๆให้ผลผลิตไร่ละกว่า 300 กก.ราคาปัจจุบัน กก.ละ 130 ไม่รายได้ไร่ละไม่น้อยกว่าไร่ละๆ 4 หมื่นบาทเกษตรกรอยู่ได้ ” นายสุดใจ กล่าว

ส่วนนางสาวนิภาวรรณ โดดเสนา นักวิชาการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การปลูกกาแฟสามารถปลูกพืชอื่นแซมได้ ร่วมถึงการเลี้ยงผึ้ง ซึ่งล่าสุดเนสท์เล่ได้ส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งในสวนกาแฟ เพื่อช่วยผสมเกสร ซึ่งการเลี้ยงผึ้งในสวนก็เป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าสวนนั้น ๆ ไม่มีการใช้สารเคมี อย่างสวนกาแฟของนายสุดใจ ก็มีการเลี้ยงผึ้งด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงถึงความสมบูรณ์ทางชีวภาพอีกด้วย