“BETAGRO Ventures” ร่วมทุน “Infinite Roots” วงเงิน 58 ล้านลอลลาร์ ในธุรกิจพัฒนาโปรตีนทางเลือกจากเห็ดสู่อาเซียน

  •  
  •  
  •  
  •  

“BETAGRO Ventures” ประกาศความสำเร็จในการร่วมลงทุนส่งเสริมการพัฒนาโปรตีนทางเลือก ด้วยนวัตกรรม “Mycelium-based” กับ “Infinite Roots” บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพอาหารชั้นนำของยุโรป ในวงเงินลงทุน 58 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อนำเทคโนโลยีการหมักไมซีเลียม และการพัฒนาโปรตีนทางเลือกที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากเห็ด มาสู่ประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 นายชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)” กล่าวว่า BETAGRO Ventures เป็นหน่วยงานด้านการลงทุนระดับองค์กรของเบทาโกร ที่มุ่งเน้นสร้างธุรกิจร่วมลงทุน และการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงอาหารคุณภาพสูงของผู้บริโภค การสร้างแหล่งโปรตีนใหม่ที่ยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนาห่วงโซ่ธุรกิจอาหารของเบทาโกรให้มีความแข็งแกร่งนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน และยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทยในที่สุด

สำหรับการร่วมลงทุนกับ Infinite Roots ถือเป็นการลงทุนครั้งแรกของ BETAGRO Ventures ด้วยความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของ Infinite Roots ในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอาหารที่ทันสมัย โดยเฉพาะแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการหมักไมซีเลียม (Mycelium Fermentation Technology Platform) และการพัฒนาโปรตีนทางเลือกที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากเห็ด (Mycelium-based) มาสู่ประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และอนาคต นอกจากนี้ การร่วมลงทุนครั้งนี้ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของ BETAGRO Ventures ในการเป็นพันธมิตรกับสตาร์ทอัพและทีมงานด้านนวัตกรรม สะท้อนถึงศักยภาพในการประสานความร่วมมือกับธุรกิจหลักของเบทาโกรในระยะยาว และเป็นการสร้างตลาดใหม่สำหรับเบทาโกร”

ส่วน Infinite Roots เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพอาหารชั้นนำของยุโรป เป็นผู้นำในการพัฒนาโปรตีนทางเลือก ด้วยนวัตกรรม Mycelium-based เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตอาหารของโลก โดยมีแผนที่จะขยายตลาดโปรตีนทางเลือก ด้วยรูปแบบอาหารฉลากสะอาด (Clean Label) ซึ่งเป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้เกิดความยั่งยืนต่อระบบอาหาร และผู้บริโภคต่อไป