ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. เผยราคาสินค้าเกษตรในเดือนสิงหาคม2565 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ เทศกาลวันแม่แห่งชาติ ส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวและร้านอาหารกลับมาคึกคัก ทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ข้าวเปลือกหอมมะลิ มันสำปะหลัง สุกร กุ้งขาวแวนนาไม และโคเนื้อ ส่วนสินค้าเกษตรที่มีราคาลดลงได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และปาล์มน้ำมัน
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนสิงหาคม 2565 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่
ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ราคาอยู่ที่13,885-13,991 บาท/ตันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ0.90-1.67เพราะสต็อกข้าวหอมมะลิของผู้ประกอบการข้าวบรรจุถุงภายในประเทศลดลงอย่างไรก็ตามได้รับแรงกดดันจากความต้องการข้าวหอมมะลิของสหรัฐอเมริกาที่ลดลงทำให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.74-2.84 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.11–4.80เนื่องจากความต้องการใช้มันสำปะหลังทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประกอบกับเข้าสู่ช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยวทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยประมาณร้อยละ 3.20 ของผลผลิตทั้งปี 2564/65
สุกร ราคาอยู่ที่103.14–104.39บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.14-1.35เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19ที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวและบริการต่างๆอาทิร้านอาหารสถานบันเทิงโรงเรียนและสถานศึกษากลับมาดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติประกอบกับต้นทุนการเลี้ยงสูงขึ้นจากค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาเนื้อสุกรยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
กุ้งขาวแวนนาไม (70 ตัว/กก.) คาดว่า ราคาอยู่ที่ 151.28-152.13 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.85-1.42 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน ฝนตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทำให้กุ้งมีโอกาสเกิดโรคเพิ่มขึ้นอาทิ โรคตัวแดงดวงขาว โรคหัวเหลืองทำให้ปริมาณผลผลิตกุ้งลดลงขณะที่การบริโภคกุ้งในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงวันหยุดยาว มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและการเปิดประเทศเต็มรูปแบบรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกระตุ้นให้มีการเดินทางท่องเที่ยวและมีความต้องการบริโภคสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น
และโคเนื้อ ราคาอยู่ที่100.20–100.80 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ0.05–0.65 เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 และเข้าสู่เทศกาลวันแม่แห่งชาติส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวและร้านอาหารทำให้ความต้องการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมถึงการบริโภคเนื้อโคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงได้แก่
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น15% ราคาอยู่ที่8,843-8,919 บาท/ตันลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ1.63-2.46 เนื่องจากอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรังครั้งที่ 2 คาดว่าปริมาณผลผลิตข้าวนาปรังจะมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนจากปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกประกอบกับการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกข้าวในตลาดโลกรุนแรงขึ้นจึงกดดันราคาข้าวขาวในตลาดโลก
ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 8,834-9,079 บาท/ตันลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ0.98-3.65 เนื่องจากเวียดนามมีนโยบายการส่งออกข้าวเหนียวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ทำให้การแข่งขันในตลาดโลกสูงขึ้น
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 10.11-10.39 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.17-2.89 เนื่องจากข้อตกลงส่งออกธัญพืชระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาซื้อขายล่วงหน้าข้าวสาลีและข้าวโพดในตลาดโลกปรับตัวลดลงทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าข้าวสาลีได้เพิ่มขึ้นจึงมีความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศลดลง อย่างไรก็ตามเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ผู้ประกอบการอาจชะลอการนำเข้าข้าวสาลีส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศปรับตัวลดลงไม่มากนัก
น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่17.73-17.79 เซนต์/ปอนด์ (14.35-14.40 บาท/กก.)ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ0.55 – 0.88 เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงและการประกาศลดราคาน้ำมันภายในประเทศบราซิลทำให้ราคาเอทานอลลดลงส่งผลให้โรงงานน้ำตาลปรับเพิ่มสัดส่วนการนำอ้อยไปผลิตน้ำตาลประกอบกับความกังวลเรื่องการอนุมัติการส่งออกเพิ่มเติมจากอินเดียอีก1.2 ล้านตันส่งผลให้มีอุปทานน้ำตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้นขณะที่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในหลายประเทศเป็นปัจจัยกดดันต่อการบริโภคน้ำตาล
ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 56.04-56.23 บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.53-0.87เนื่องจากราคาซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในตลาดซื้อขายล่วงหน้าโตเกียวปรับตัวลดลง จากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาและสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ประกอบกับจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ายางพาราอันดับ 1 ของโลก มีมาตรการเข้มงวดควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้จีนมีชะลอการนำเข้ายางพาราจากไทย อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างมาก จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกยางพาราของไทย
ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่6.74-6.99บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ1.13-4.66เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) แก้ไขมาตรการคว่ำบาตร ด้านการส่งออกน้ำมันและพลังงานจากรัสเซีย บริษัทจำหน่ายพลังงานรายใหญ่ของรัสเซียได้แก่ RosneftและGazprom สามารถส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติไปประเทศที่สามได้ส่งผลต่อความต้องการปาล์มน้ำมันเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลและราคาปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวลดลง