กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ได้ฤกษ์ปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์เนื้อไก่เที่ยวแรกในรอบ 18 ปีของไทยไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย หลัง 5 โรงงานผลิตเนื้อไก่ของ CPF ผ่านรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ซาอุฯ เผยเป็นผลจากความสำเร็จของการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซีพีเอฟ คาดจะส่งออกไก่ไปซาอุฯ ได้ 30 ตู้ จำนวน 600 ตันภายในเดือนมีนาคมนี้
วันที่ 28 มีนาคา 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายในพล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้ง นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร และคณะผู้บริหารบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมปล่อยตู้คอนเทนเนอร์ปฐมฤกษ์ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ ออกจากโรงงานแปรรูปไก่เนื้อ มีนบุรี 2 ไปยังซาอุดิอาระเบีย นับเป็นไก่ล็อตแรกของไทยในรอบ 18 ปี ตั้งแต่ปี 2547 ตามมาตรการห้ามนำเข้าเนื้อไก่ ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์ไก่จากประเทศไทย
ล่าสุด รัฐบาลซาอุฯ ได้ประกาศรับรองอนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทยจากโรงงาน 11 แห่ง ในจำนวนนี้ มีโรงงานของซีพีเอฟ 5 แห่ง สามารถผ่านการรับรองมาตรฐาน ประกอบด้วย โรงงานชำแหละไก่มีนบุรี โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี 1 โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี 2 โรงงานชำแหละไก่สระบุรี และโรงงานแปรรูปไก่เนื้อสระบุรี
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้นับเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของการส่งออกไก่ไทยไปซาอุฯ เป็นผลสำเร็จที่สำคัญจากการเยือนซาอุฯของ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการผนึกพลังของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศในการฟื้นความสัมพันธ์การค้าของสองประเทศ ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการประสานงานในด้านมาตรฐานการผลิตไก่ไทยเป็นไปตามมาตรฐานฮาลาล
“ขอแสดงความยินดีกับ ซีพีเอฟเป็นบริษัทแรกที่ได้ส่งออกสินค้าไก่ตู้ปฐมฤกษ์ ถือเป็นศักราชใหม่ของโลกการค้าไทยและซาอุฯ ทั้งนี้ ไทยตั้งเป้าส่งออกไก่ไปซาอุฯ ในปีนี้ 1 หมื่นตัน ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าและตัวเลขการส่งออกไก่เนื้อของไทยไปต่างประเทศ โดยในปีนี้ตั้งเป้าส่งออกไก่เนื้อไปทั่วโลกรวม 9.8 แสนตันเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนซึ่งซาอุฯ เป็นตลาดที่สำคัญและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล มั่นใจว่า สินค้าของไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก” นายจุรินทร์กล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ เปิดเผยว่า การปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์เนื้อไก่ในวันนี้ จำนวน 5 ตู้ ปริมาณ 100 ตัน เป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ล็อตแรกจาก 5 โรงงานของบริษัทฯ และภายในเดือนมีนาคมนี้ บริษัทฯ จะมีการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ผ่านผู้นำเข้ารายใหญ่ของซาอุฯ ปริมาณรวม 600 ตัน คิดเป็นมูลค่า 47 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง ซึ่งให้ความร่วมมือช่วยกันประสานงาน จนสามารถฟื้นการส่งออกไก่ไทยไปยังตลาดซาอุฯ ได้สำเร็จ นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกไก่ของไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้ ซีพีเอฟจะส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ได้ 300 ตู้ ปริมาณรวม 6,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าจากการส่งออกรวม 473 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะขยายการส่งออกไก่สดและไก่แปรรูปไปซาอุฯ ได้ 3,000 ตู้ ปริมาณรวม 60,000 ตัน ช่วยทำรายได้เข้าประเทศ 4,200 ล้านบาท” นายประสิทธิ์ กล่าว
ผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปของซีพีเอฟ ผ่านกระบวนการผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด อาทิ GMP, HACCP, ISO 9001, IFS(International Food Standard), BRC (British Retail Consortium, ISO 14001 (Environment Management System) รวมถึง Thai Labor Standard TLS 8001 (มาตรฐานแรงงานไทย-มรท. 8001), ISO 45001 (Occupational Health and Safety Management Systems)
ที่สำคัญ มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานตามหลักศาสนาอิสลาม หรือ Halal และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตั้งแต่การเชือดไก่โดยพนักงานที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือการแปรรูปเนื้อไก่โดยใช้วัตถุดิบที่ไม่มีของต้องห้ามตามหลักศาสนาอิสลาม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงต้นทาง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยสูงมาก ทั้งมาตรฐานฟาร์มและการปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์
ทั้งนี้ ซาอุฯ เป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยมีประชากรมากถึง 35.6 ล้านคน เป็นประเทศที่มีสัดส่วนนำเข้าอาหารสูงที่สุดในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Corporation Council) และจะเป็นประเทศผู้นำเข้าเนื้อไก่จากประเทศไทยรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง การกลับเข้าสู่ตลาดซาอุฯ ในครั้งนี้จะช่วยสร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของผู้ส่งออกเนื้อไก่ไปยังซาอุฯ ได้ประมาณ 10–15% ของตลาดรวมเนื้อไก่