ทำนาแบบเปียกสลับแห้งขายคาร์บอนเครดิตได้จริง พบ ศกอ.สุพรรณบุรี 30 ราย ขายให้ 3 บริษัท

  •  
  •  
  •  
  •  

สศท.7 ชันนาท ยืนยัน  ทำนาข้าวลดโลกร้อน ขายคาร์บอนเครดิต สร้างรายได้จริง พบแล้วที่ ศกอ.สุพรรณบุรี 30 รายเลิกทำแบบเก่ามาทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ลดต้นทุนชัดเจน แถมช่วยลดก๊าซมีเทนในดิน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต เผยมีวิธีขาย 2 รูปแบบ ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มตลาดซื้อขายหรือศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดบัญชี T-VER credit กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) และซื้อขายในระบบทวิภาค 

นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) เปิดเผยว่า จากการที่ สศท.7 ได้ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า เศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) ตำบลบ้านสวนแตง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี คือ นายพิชิต เกียรติสมพร ได้ทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาน้ำขังแบบเดิมเป็นการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งช่วยลดก๊าซมีเทนในดิน ลดการ  ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งจากการสัมภาษณ์นายพิชิต บอกเล่าว่า ตนทำนาเปียกสลับแห้งบนพื้นที่ จำนวน 20 ไร่ จากนั้นได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาที่จัดโดยกรมการข้าว ซึ่งได้มีบริษัทเอกชนมาถ่ายทอดความรู้เรื่องการปลูกข้าวรักษ์โลกและการขายคาร์บอนเครดิต ตนจึงสนใจทำนาเปียกสลับแห้ง เพื่อขายคาร์บอนเครดิต ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา

                                                                           อังคณา พุทธศรี  

อีกทั้งนายพิชิต ได้แนะนำและขยายเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่ตำบลบ้านสวนแตงเข้าร่วมการทำนาเปียกสลับแห้งเพื่อขายคาร์บอนเครดิต ร่วมจำนวน 30 ราย มีบริษัทรับซื้อคาร์บอนเครดิต จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท สไปโร คาร์บอน จำกัด, บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด และ บริษัท วรุณา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่รับซื้อคาร์บอนเครดิตในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีกรมการข้าว เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแล

สำหรับการปลูกข้าวแบบเดิม 1 ไร่ จะปล่อยคาร์บอนออกมาประมาณ 2 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งบริษัทจะรับซื้อคาร์บอนเครดิตในราคา 200 บาท/ไร่/รอบการผลิต โดยเกษตรกรจะต้องทำการบันทึกข้อมูลการทำนาและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านแอปพลิเคชัน “คันนา” โดยในส่วนของการทำนาเปียกสลับแห้งเพื่อขายคาร์บอนเครดิตของนายพิชิต พบว่า มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 3,199 บาท/ไร่/รอบการผลิต หากเทียบกับการทำนาแบบเดิมที่มีต้นทุนเฉลี่ย 4,200 บาท/ไร่/รอบการผลิต หรือ ลดลงร้อยละ 23.81 ได้ผลผลิตเฉลี่ย 1,000 กิโลกรัม/ไร่/รอบการผลิต หากเทียบกับการทำนาแบบเดิมที่ได้ผลผลิตเฉลี่ย 960 กิโลกรัม/ไร่/รอบการผลิต หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.17 ส่งผลให้นายพิชิตมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต 4,000 บาท/รอบการผลิต (ทำนาปีละ 2 รอบการผลิต) คิดเป็นรายได้เฉลี่ย 8,000 บาท/ปี

ด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของบริษัทกับเกษตรกร มี 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Trading Platform) หรือศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเปิดบัญชี T-VER credit กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) และ 2) ซื้อขายในระบบทวิภาค (Over-the-counter: OTC) เป็นระบบการซื้อขายที่ดำเนินการโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งสามารถกำหนดเงื่อนไขการซื้อขายได้ตามความต้องการของคู่สัญญา อาจผ่านตัวแทนหรือแพลตฟอร์มการซื้อขายของบริษัท

การทำนาน้ำขังแบบเดิมตลอดฤดูเพาะปลูก ทำให้ไม่มีออกซิเจนสร้างจุลินทรีย์ทำปฏิกิริยาจนเกิดก๊าซมีเทนขึ้นจึงต้องทำให้น้ำแห้งเพื่อเพิ่มออกซิเจนลงไปในดิน จึงเป็นที่มาของการทำนาเปียกสลับแห้ง ซึ่งเป็นเทคนิคในการดึงน้ำออกจากนาข้าวหรือปล่อยน้ำในนาข้าวให้แห้งลงไปจนดินเริ่มแตกระแหงในบางช่วงของการเพาะปลูก เป็นการจัดการน้ำในแปลงนาให้มีทั้งสภาพเปียกและสภาพแห้งที่เหมาะสมกับความต้องการน้ำของข้าวในแต่ระยะการเจริญเติบโตโดยปล่อยให้น้ำแห้งตามธรรมชาติเพื่อให้ดินมีการระบายน้ำและอากาศที่ดี กระตุ้นให้รากและลำต้นข้าวมีความแข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลง

อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมัน ค่าปุ๋ย-สารเคมี เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร ทั้งนี้ การขายคาร์บอนเครดิตจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างรายได้เพิ่ม พร้อมกับการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากเกษตรกรหรือท่านใด สนใจข้อมูลการทำนาแบบเปียกสลับแห้งและการขายคาร์บอนเครดิต สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ นายพิชิต เกียรติสมพร โทร 08 9174 2512”